สรุปย้อนหลังเนื้อหาสัมมนา Clinical Dermatology in the UK กับ หมอกะทิ

  • Share this:

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 พี่ Hands On Education Consultants ได้จัดสัมมนาสุดพิเศษ ที่เชิญคุณหมอกะทิ รุ่นพี่ที่จบจากหลักสูตร MSc in Clinical Dermatology ของ Cardiff University มาพูดคุยและตอบคำถามเรียนต่อสาย Clinical Dermatology แชร์ประสบการณ์การเรียนและชีวิตตอนไปเรียนที่สหราชอาณาจักรแบบไม่กั๊ก ซึ่งใครที่พลาดอีเวนต์นี้ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะบทความนี้ ได้สรุปเนื้อหาสำคัญที่คุณหมอกะทิได้มาแบ่งปันให้น้อง ๆ ฟัง ก่อนอื่นเราให้คุณหมอกะทิแนะนำตัวกันสั้น ๆ สักหน่อย

“สวัสดีครับ ผมกะทินะครับ เป็นแพทย์จบจาก MSc Clinical Dermatology ของ Cardiff University ครับ ตอนนี้ก็เปิดคลินิก 2 ที่ ก็คือ Kojic Clinic ตรงเอกชัยบางบอน แล้วก็ Cista Clinic ตรงสนามเป้า แล้วก็ทำโรงพยาบาลด้วย ตรวจโรคผิวหนังครับ”


Q
1: รีวิวให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะว่าคอร์สเรียนอะไรบ้าง?

หมอกะทิ: คอร์สนี้เรียนประมาณทั้งหมด 9 เดือน อีก 3 เดือนคือเขาให้ทำ Dissertation ครับ Dissertation ก็คือเป็นการเอา Research Paper มา Review ตอนเรียนมันจะแบ่งเป็นทั้งหมด 6 Module ก็คือ 651, 652, 653, 654, 655, 656

ในเทอมแรกจะเรียน:

  • MET651 Introduction to Dermatology: Evidence-based Dermatology, Immunology and Biology of the Skin
  • MET652 Disorders Presenting in the Skin and Mucous Membranes
  • MET653 Environment and the Skin
  • MET654 Practical Skills

แล้วก็เทอมที่สองเรียน:

  • MET654 Practical Skills
  • MET655 Cutaneous Manifestations of Systemic Diseases
  • MET656 Skin Cancer and Surgical Interventions in Dermatology

651 ก็จะสอนเราเกี่ยวกับพื้นฐานก่อนเพื่อที่สุดท้ายในตอนที่มันเป็นโรค เราจะได้กลับมาที่พื้นฐานได้ว่า หลักการมันคือประมาณนี้มันเลยทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นครับ แล้วก็ 652 จะเป็นโรคกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่โรคติดเชื้อ ส่วน 653 ก็เป็นโรคติดเชื้อ 654 ก็จะเป็นตรวจร่างกาย เข้าคลินิก แล้วก็ 655 – 656 มีเกี่ยวกับโรคมะเร็งแล้วก็โรคที่เป็นโรคทั่วร่างกายที่เป็นโรค Systemic ทั่วร่างกาย เช่น SLE อะไรอย่างงี้ครับ ความยากของการเรียนก็คือ เขาไม่ได้ป้อนเรา หมายถึงว่า เขาจะมี Textbook 4 เล่ม ให้อ่าน ซึ่งเราต้องอ่านเองด้วยครับ มันจะไม่ได้เรียนเหมือนเมืองไทยที่มีแค่สไลด์ เลคเชอร์ แล้วก็จด ๆ ไป แล้วก็เราอ่านแค่นั้นพอ อันนี้ไม่พอครับ เขาออกอะไรก็ได้


Q
2: ระหว่างเรียนมีงานกลุ่ม งานเดี่ยวแบ่งเป็นอย่างไรบ้าง?

หมอกะทิ: ทำงานกลุ่มจะต้องทำทุกอาทิตย์ แล้วก็มีการเปลี่ยนกลุ่มทุกเทอม สิ่งที่ทำก็คือ ทำเป็น Review Paper ก็คือ เอา Paper เกี่ยวกับทางด้าน Dermatology มา 1 Paper ต้องเป็น Paper ที่ได้มาตรฐาน แล้วทีนี้ก็จับกลุ่มกันแล้วก็มานั่งทำ Literature Review คร่าว ๆ ว่า อันนี้มันได้อะไร ผลเสียมันมีอะไร Conflict Of Interest ของ Paper นี้มีอะไร แล้วก็เราจะทำยังไง สมมติถ้าเราจะตั้งหัวข้องานวิจัยถัดไป เราจะตั้งหัวข้อวิจัยว่าอะไร ประมาณนี้

หมอกะทิ: ในด้านงานเดี่ยวทั้งปีเราจะมีทั้งหมด 3 งาน งานแรกคือ Essay เขียนทั้งหมด 2,500 คำ งานที่สองคือ Literature Review เขียนทั้งหมด 2,500 คำ ส่วนงานสุดท้ายก็คือ Dissertation ที่เป็น Paper ที่เราต้องส่ง เขียนทั้งหมด 25,000 คำ ครับ งานแรก Essay กับ Literature Review ที่จริงมันคล้าย ๆ กัน ประมาณว่าเราเขียนหนังสือบทนึงขึ้นมา แต่ทีนี้เราไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง มโนขึ้นมาเอง แต่เราต้องมีการอ้างอิงมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้แล้วก็เอามาเขียน ต้องมีการ Citation ทุกประโยค ส่วนงานที่สองก็ Literature Review ก็ทำเหมือน ๆ กัน แต่ว่าคราวนี้มันจะเป็นจริงเป็นจังมากกว่า ส่วนงานที่สามก็คือ Dissertation อันเนี้ยจริงจังเลย ข้อดีก็คือเราไม่ต้องทำการทดลองเอง เราแค่เอา Paper มา Review ถ้าสรุปง่าย ๆ ก็เหมือนทำ Systematic Review แบบย่อม ๆ ครับ


Q3
: เล่าประสบการณ์การออก OPD ที่โรงพยาบาลในอังกฤษ

หมอกะทิ: : ถ้าเอาปีแรกเลย ตอนที่ยังปรับตัวไม่ได้ เราไปออก OPD เราก็เข้าใจว่า นั่ง Observe เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร แบบเราพยายามทำตัวล่องหนให้มากที่สุด  แต่จริง ๆ แล้วการออก OPD ที่จริงเราทำได้ทุกอย่าง คือในปีที่ 2 ผมค่อนข้าง Perform ได้ดีขึ้น มีวันนึงผมได้ออก OPD คนเดียว คือปกติห้องนึงมันจะมี 2-3 คน แต่ว่าวันนั้นผมอยู่คนเดียวกับอาจารย์ อาจารย์ก็ให้ทำหมดเลยก็คือโยนแฟ้มให้เรา แล้วเราเป็นคนซักประวัติ ตรวจร่างกายเองหมดเลย แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนได้ทำนะครับ ต้องโชคดีด้วย หมายถึงว่าได้อาจารย์บางคนด้วย แล้วก็เราต้อง Perform ให้เขาเห็นด้วยว่า เราตรวจได้จริง ๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ครับ ผมว่าถ้าออก OPD แบบของที่อังกฤษมันไม่ได้รีบเหมือนเมืองไทย มันจะประมาณ 30 นาทีต่อเคส มันก็จะ Holistic Care มากกว่าคนไทย


Q4
: บรรยากาศในห้องเรียน เพื่อน ๆ ในคอร์สเรียนเป็นยังไงบ้าง? อาจารย์โหดมั้ย?

หมอกะทิ: คนเรียนประมาณ 20 – 30 คนต่อปีครับ แต่ว่าในห้องจะไม่มีฝรั่งเลย จะเป็นนักเรียนต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งชาติที่มาเยอะที่สุดก็คืออินเดีย ปีของผมมีคนไทย 2 คน คนส่วนใหญ่ใน Classmate ก็จะขี้อายกัน ส่วนอาจารย์เป็นอาจารย์ที่อยู่อังกฤษครับแต่เขาเป็นเชื้อสายอินเดีย แต่เขาอยู่อังกฤษมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่แล้ว ไม่ได้เพิ่งมาย้าย สำเนียงเขาจะติดอินเดียนิดนึง ช่วงแรก ๆ เราจะฟังไม่ค่อยออก แล้วก็จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ละคนด้วย เหมือนจะแบ่ง Sec 30 คนก็แบ่งเป็น 10-10-10 แบ่งอาจารย์ที่ปรึกษา 1 คนมีเด็ก 10 คน เป็นที่ปรึกษาครับ อาจารย์แต่ละคนก็จะแต่ละบุคลิก

Q5: เรียนที่มหาวิทยาลัย Cardiff University เป็นยังไงบ้างคะ?

หมอกะทิ: มันมีหลายคณะมาก ๆ ถามว่าคณะไหนตึกไฮโซสุด อัปเดตสุด คอมทันสมัยสุด แน่นอนก็ต้องเกี่ยวกับพวก Data Science, Math ครับ คอมเครื่องใหม่ ตึกใหม่ ทุกอย่างอลังการ แต่ว่าของเราอะเป็นโรงพยาบาล ผมไม่แน่ใจว่าเขาน่าจะรีโนเวท 1 – 2 ปีนี้แหละครับ ก็น่าจะได้ตึกใหม่มา แต่ว่าตอนที่ผมไปมันเป็นตึก 4 ชั้นเก่า ๆ ถามว่ามันเก่ามั้ย มันก็ไม่ได้เก่าขนาดนั้น แล้วก็ห้องสมุดเขาทำใหม่แล้ว เป็นห้องสมุดใน Campus เลย ถามว่า Hi-Tech กว่าเมืองไทยเยอะมั้ย ก็ Hi-Tech กว่ามาก ๆ ครับ


Q6
: การใช้ชีวิตในเมือง Cardiff เป็นยังไงบ้าง? ไปเที่ยวบ้างรึเปล่า?

หมอกะทิ: Cardiff เป็นเมืองเล็ก เงียบ ไม่มีอะไร แต่ว่าไม่ได้เงียบขนาดนั้น ถ้าให้เปรียบ ผมว่าเปรียบเหมือนอุดรที่เมืองไทย ถามว่ามีห้างฯใหญ่มั้ยก็มี ใช้ชีวิตได้มั้ยก็ใช้ได้ แล้วก็มันเป็นเมืองมหาลัยก็คือมีหลาย ๆ Campus อยู่ในเมือง โดยรวมเมืองค่อนข้างปลอดภัย ใช้ชีวิตง่ายกว่า และค่าครองชีพถูกกว่า London

หมอกะทิ: เรื่องไปเที่ยวง่ายมากครับ เพราะ Cardiff มันมีสถานีรถไฟ ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่รถไฟถึงทุกที่ เพราะฉะนั้นสมมตินั่งรถไฟจาก Cardiff ไป London ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ถ้าไปใกล้ ๆ ก็ Oxford ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงเหมือนกันครับ แนะนำว่าให้ไปเที่ยว ไหน ๆ ได้ใช้ชีวิตแล้วอะครับก็ไปเที่ยวให้คุ้ม

Q7: ในช่วงการเตรียมตัวเรียนต่อ พี่ ๆ Hands On ช่วยอะไรคุณหมอบ้าง?

หมอกะทิ: ที่จริงช่วยทุกอย่าง หมายถึงว่า เขาจะบอกขั้นตอนทั้งหมดโดยไม่กั๊ก เพราะว่าเขาไม่ต้องเอาเงินจากเรา ในตอนแรกผมก็งงว่า มันจะฟรีได้ยังไง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด พี่ Hands On ก็ได้เงินจากการที่เราไปเรียนเพราะเค้าเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ทำงานกับมหาวิทยาลัย  เขาก็จะบอกขั้นตอนทุกอย่าง มีอะไรก็สามารถติดต่อได้ ไปเรียนแล้วมีปัญหาอะไร ก็สามารถคุยได้ครับ

 

นี่ก็เป็นรีวิวจากรุ่นพี่ศิษย์เก่า Cardiff University หนึ่งในท็อปยูจากอังกฤษ โดยเนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งจาก “สัมมนา Study Clinical Dermatology in the UK ฟังประสบการณ์ตรงจาก คุณหมอกะทิ รุ่นพี่จาก Cardiff University”

ถ้าใครอยากมานั่งฟังรุ่นพี่เม้าท์มอยแชร์ประสบการณ์เรียนต่อแบบจัดเต็ม พร้อม Q&A กับพี่ ๆ แบบใกล้ชิด ต้องไม่พลาดสัมมนาดี ๆ แบบนี้ในครั้งหน้านะ สามารถเข้าไปเช็กตาราง Upcoming Events ของพี่ ๆ Hands On ได้เลย หรือใครที่กำลังวางแผนเรียนต่อ UK ในปี 2025 นี้ เข้ามาปรึกษาพี่ Hands On ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

สอบถามข้อมูลเรียนต่อต่างประเทศเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ Hands On ฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: