รีวิว MA Theology, Bible, and the Arts ที่ King’s College London โดย Jang

  • Share this:

แนะนำตัวเองให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

Jang : สวัสดีครับ ชื่อ เจิดจ้า ชื่อเล่น แจ้ง แต่อยู่ที่นี่ออกเสียงยาก คุณพ่อจิตตาธิการของ King’s ก็เลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เจเจ ผมก็เลยใช้ชื่อนี้เป็นชื่อไว้แนะนำตัวเวลาที่คุยกับคนอื่นครับ

ตอนนี้ผมเรียนปริญญาโท คอร์สชื่อว่า Christianity and the Arts แต่ว่าในปีการศึกษาที่จะถึงนี้จะเปลี่ยนชื่อหลักสูตรเป็น Theology, Bible, and the Arts ครับ จะอยู่ใน Department of Theology & Religious Studies, Faculty of Arts & Humanities ที่ King’s College London ครับ

ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้?

Jang : ตอนปริญญาตรีผมเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรครับ เรียนประวัติความเป็นมาของศิลปะในยุคต่าง ๆ แต่ว่าตอนอยู่เมืองไทยก็เรียนทั้งศิลปะไทย เอเชีย แล้วก็ตะวันตกด้วย ทีนี้ความสนใจคือมาทางตะวันตกและศิลปะในศาสนาคริสต์ ก็เลยหาว่าถ้าอยากเรียนปริญญาโทเพื่อที่จะทำงานในสายงานนี้ต่อ จะเรียนที่ไหนดี จริง ๆ ในอังกฤษ ใน London ก็มีหลากหลายมหาลัยเลยที่เป็น Arts History แต่พอมาดูที่ King’s คอร์สมันชื่อว่า Christianity and the Arts เป็นสาขาเฉพาะทางตรงตามที่เราอยากเรียน เลยปักธงเล็งไว้เลยว่าจะมาที่นี่

🇬🇧  Top 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดใน UK สาขา Theology, Divinity & Religious Studies จาก QS World Rankings by Subject 2025

รีวิว MA Theology, Bible, and the Arts ที่ King’s College London

Jang : Christianity and the Arts มันเฉพาะทางมากครับ เป็นหลักสูตรหนึ่งของภาควิชาเทววิทยาและศาสนศึกษา Theology & Religious Studies ครับ ศาสนานี่ทุกคนน่าจะรู้จักอยู่แล้ว แต่คำว่า Theology เทววิทยา เป็นคำค่อนข้างเฉพาะ Theology Theos+logos เป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าเค้ามีความคิด แนวคิดในการนำเสนอ การทำความเข้าใจเรื่องพระเจ้าอย่างไร ทั้งจากตัวบทในพระคัมภีร์ แล้วก็บริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในอังกฤษจริง ๆ มีพื้นฐานมาจากสถาบันทางศาสนา เพราะฉะนั้นการสอน Theology ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนของแต่ละมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว

ที่ King’s เองก็เป็นมหาวิทยาลัยหนึ่งที่มีการสอนเกี่ยวกับเทววิทยามาอย่างยาวนาน แล้วก็มีการพัฒนาแนวทางของตัวเองครับ แต่ในหลักสูตร Christianity and the Arts จะเป็นหลักสูตรที่ให้เราทำความเข้าใจเรื่องพระเจ้าผ่านศิลปะ ว่าศิลปะนอกจากจะสร้างขึ้นจากการใช้แรงบันดาลใจหรืออ้างอิงจากตัวบทพระคัมภีร์ จากความเชื่อ จากสังคมประวัติศาสตร์แล้ว ศิลปะมันทำหน้าที่ในการเป็นเครื่องมือสื่อสารของเทววิทยาแล้วก็แนวคิดทางศาสนายังไงบ้าง เราก็ต้องคิดว่าสมัยก่อน คนอ่านหนังสือไม่ได้ทุกคน เพราะงั้นวิธีนึงที่จะเรียนรู้ได้ก็คือการมองด้วยตาและการฟังด้วยหู ฟังคือฟังเทศน์ มองก็คือการมองศิลปะที่อยู่ในโบสถ์ให้เข้าใจเรื่องราวทางศาสนา อันนี้ก็คือบทบาทสำคัญของศิลปะ ซึ่งผมคิดว่าการเข้าใจตรงนี้มันไม่ใช่แค่ในศาสนาคริสต์เท่านั้น แต่ว่าการศึกษาศิลปะในศาสนาอื่น ประเทศใด ๆ ก็ตาม เราก็จะเข้าใจว่าทำไมศิลปะจึงสำคัญ แล้วก็มีพลัง มีข้อต่อรองในสังคมมาอย่างยาวนานครับ (ยิ้ม)

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

กิจกรรมนอกห้องเรียน

Jang : ความพิเศษของหลักสูตรนี้คือ เป็นหลักสูตรที่อยู่ในความร่วมมือกับ King’s College London และ National Gallery ที่ Trafalgar Square ในทุกสัปดาห์เราจะไปเรียนกันที่ National Gallery จะแบ่งเป็น 2 ชั่วโมงครับ ชั่วโมงนึงก็จะเรียนในหอประชุมของที่ Gallery เรียนเป็นทฤษฎี มี Theme ตามหัวข้อของแต่ละสัปดาห์ ส่วนอีกหนึ่งชั่วโมงจะขึ้นไปที่ห้องจัดแสดงเลย ไปเรียนหน้าภาพวาด ไปเรียนหน้าผลงานศิลปะจริง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Theme ประจำสัปดาห์นั้น ๆ ที่นี่เป็นหอศิลป์ที่น่าจะใหญ่ที่สุดแห่งนึงในอังกฤษ ดังมาก ๆ ครับ รวมศิลปะจากหลากหลายยุคสมัยที่เป็นภาพวาดไว้เยอะมาก ๆ เราได้เรียนทฤษฎีแล้วก็เอาไปดูผลงานจริง ๆ ในคาบนั้นเลย

นอกจากนี้ก็มีไปดูศิลปะจากที่อื่นด้วยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Museum ในลอนดอน อย่างเมื่อวานก็พึ่งไปที่ Victoria and Albert Museum มาครับ เหมือนกับเราไปทัวร์ อาจารย์จะให้นักเรียนแต่ละคนก็จะเลือกงานที่ตัวเองสนใจมา 1 ชิ้น อะไรก็ได้ครับ เป็น Sculpture ก็ได้ แล้วก็มาพรีเซนต์ เหมือนเล่าให้เพื่อนฟังว่างานชิ้นนี้คืออะไร เป็นการนำเนื้อหาที่เราเรียนมาประยุกต์ใช้ ที่ V&A มีงานหลายแบบมาก Sculpture Painting หรือแม้กระทั่ง Photograph ที่เป็นสมัยใหม่ ร่วมสมัยก็ได้ เพราะสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนจากที่นี่ก็คือ คำว่า เทววิทยา เนี่ยมันไม่ได้อยู่แค่ยุคโบราณ และมันก็ไม่ได้อยู่แค่ในศาสนาคริสต์ แต่อยู่ทุกที่ ทุกสมัย เราสามารถมองทุกสิ่งเข้ากับเทววิทยาได้หมดเพื่อทำความเข้าใจผลงานศิลปะ เพราะฉะนั้นมันมีหลายรูปแบบเลย เยอะมากครับ

สิทธิพิเศษสำหรับนักศึกษาที่เรียนหลักสูตรนี้

Jang : อาจจะมีบ้างครับ อย่างเช่นตอนที่เรียนที่ National Gallery ก็จะมีนิทรรศการพิเศษ เราก็จะมี Session พิเศษที่ตัว Curator หรือก็คือคนจัดนิทรรศการ เค้าก็จะมาเล่าให้เราฟังถึงเบื้องหลังหรือแนวคิดในการทำนิทรรศการ การเลือกเอาผลงานชิ้นนี้มาโชว์นั้นเป็นยังไงบ้าง หรือว่าในเดือนหน้าที่มีนิทรรศการใหม่กำลังจะเปิด ซึ่งปกติต้องซื้อตั๋วเข้าชม แต่ใครที่เรียนคอร์สนี้จะมี Session พิเศษ คือเป็น Private Tour เฉพาะ Group ของเราเลย แล้วก็มีผู้จัดนิทรรศการมาเล่าเนื้อหาให้เราฟัง นำชมในนิทรรศการนั้น ๆ ให้ครับ ทั้งนี้ก็แล้วแต่นิทรรศการด้วย ถ้าอันไหนไม่เกี่ยวก็ต้องจ่ายเงินอยู่ดี แต่เค้าก็จะเลือกมาให้แล้วว่าอันไหน Match กับคอร์สของเราที่สุด

Assignment ต่าง ๆ ของหลักสูตรนี้

Jang : วิธีการวัดผลก็จะเป็น Essay ตอนปลายเทอมเลยครับ บางวิชาจะมีพรีเซนต์เป็นสัดส่วน 10% แล้วก็เป็น Essay ปลายเทอมอีก 90% แต่ว่าหลายวิชาก็เป็น Essay 100% ตอนจบเทอมครับ เค้าก็จะให้หัวข้อมาตั้งแต่คาบแรกเลยว่า คำถาม Essay ประจำวิชานี้มี 10 อย่าง เลือกมาซัก 1 หรือ 2 อย่าง แล้วเราก็ให้เราวางแผนทำงาน พอเสร็จแล้ว ประมาณหลังกลางเทอมก็จะให้ไปปรึกษาอาจารย์ว่าเราอยากเขียนอะไร ไปพรีเซนต์ให้เค้าฟังแล้วเราถึงจะมาเขียน ใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนครึ่งเพื่อส่งครับ  ส่วนความยาวของ Essay ถ้าวิชาหลักก็จะมี 5,000 คำ วิชารองลงมาก็จะเป็น 4,000 คำครับ

บรรยากาศในห้องเรียน

Jang : ปีนี้มีคนเรียนประมาณ 20 คน เราเป็นเอเชียหนึ่งเดียว แต่ละคนเนี่ย Background หลายแบบมากเลย มีทั้งนักศึกษาเหมือนกัน ยังเป็นรุ่นพอ ๆ กัน บางคนก็เป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวแล้ว ทำงานอย่างอื่น เป็นนักบวชก็มีเพราะเรียนศาสนา บางคนเป็นศิลปิน หรือดีไซเนอร์ ที่มาเรียนเพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ช่วยในการออกแบบศิลปะหรือการสร้างผลงานของเค้า และด้วยความที่กลุ่มมันเล็ก เรียนในห้องประชุมเล็ก ๆ เราก็มีการคุยกันตลอด การเรียนการสอนก็คือ อาจารย์เค้าจะนำเสนอตัวข้อมูล แต่ละ Week ก็จะมี Reading Lecture ให้อ่าน เยอะบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สัปดาห์ อาจารย์จะให้เราอ่านแล้ว Discuss กันในห้อง หรือไม่ก็จะมีคำถาม โชว์ภาพศิลปะให้ดูแล้วถามว่าเราคิดเห็นยังไง หรือเราสามารถเข้าใจมันได้ยังไงบ้าง เราก็จะได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันในห้อง เน้นการตีความ หรือคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงนั้นยังไงบ้าง เช่น ภาพวาดพระแม่มารี ภาพนักบุญ ว่ามันเกี่ยวข้องกับเมืองที่สร้างผลงานนั้นมั้ย มันเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวอะไรในตอนนั้นมั้ย หรือว่ามันมีการสื่อสารอะไรบางอย่างที่เจาะจงเป็นพิเศษหรือเปล่า หรือมันเกี่ยวกับความเชื่อในเทววิทยาข้อใดข้อหนึ่ง

เพื่อน ๆ ในคลาสส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน แต่มันก็มีคริสเตียนหลายแบบครับ ทั้งคาทอลิก โปรเตสแตนต์ ซึ่งจะมี Church of England ของที่นี่ครับ เป็น Evangelical บ้าง หรือว่าเป็น Baptists ก็คือจะมีหลายนิกายยิบย่อย แต่ว่าตัวศิลปะของเราเนี่ย พอมันเป็นยุคโบราณ ก็จะเป็นคาทอลิกแล้วก็นิกายหลัก ๆ เป็นส่วนใหญ่ แล้วเราก็จะมาแชร์กันว่า เมื่อเวลามันเปลี่ยนไป แต่ละนิกาย แต่ละโบสถ์ เค้ามีพิธีหรือความเข้าใจเรื่องนี้กันยังไงบ้าง บางครั้งก็จะมีการปะทะกันอยู่ครับ แต่เราก็จะมองว่าศิลปะมันก็เป็นตัวนึงเนอะ เป็นตัวชนว่าเค้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความเชื่อในแต่ละยุค

การเรียนเกี่ยวกับศาสนามักเป็นเรื่อง Sensitive เคยมีเรื่องขัดแย้งอะไรในการ Discuss กันบ้างมั้ยคะ?

Jang : ทุกคนก็เข้าใจในความต่างของเวลาครับ ว่าสังคมในสมัยก่อนกับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ เราเอาปัจจุบันไปตัดสินอดีตไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องของบทบาทของผู้หญิงในศาสนา ทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ แต่สมัยก่อนมันก็จะมีกรอบของมันอยู่ เราก็ โอเค เราเข้าใจประเด็นตรงนี้ เข้าใจว่าทำไมนิกายนี้กับนิกายนี้ถึงไม่ถูกกัน เราก็จะมีข้อมูลประวัติศาสตร์ตรงนี้เป็น Background ให้กับเรา เช็คว่าเราใช้เลนส์อะไรในการมองสิ่งต่าง ๆ

 

อาจารย์เป็นยังไงบ้าง ใจดีมั้ย?

Jang : ใจดีมากกก ชอบอาจารย์มากครับ ทุกคนใจดีหมดเลย เวลาที่เราติดขัดอะไร เราก็ Email ไปหา หรือเราจะไปคุยตัวต่อตัว อาจารย์ก็ช่วยเหลือหมด Support หมด แล้วก็สอนสนุกครับ Enjoy มาก

Study International Relations

รีวิว King’s College London

Jang : สิ่งที่ประทับใจของมหาวิทยาลัย หนึ่งเลยคือเรื่องหอสมุดครับ The Maughan Library หอสมุดใหญ่โตมโหฬารมาก เรามาจากศิลปากร วังท่าพระ ที่ Campus ผมมันเป็นมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ หอสมุดเล็ก ๆ 3 ชั้น มาเจอที่นี่คือ โอ้โห อย่างกับอาณาจักร เดินกันขาลากครับ หนังสือเยอะมาก แล้วก็มีมุมให้นั่งอ่านหนังสือเพียบเลย เราเข้าถึงข้อมูลได้ที่นี่ แล้วใน London เราก็มีหอสมุดอีกหลายที่ที่เราชอบเข้าไปใช้บริการ ถ้าเป็นนักศึกษา เราก็สมัครสมาชิกได้ฟรีครับ อีกอย่างที่ King’s มีก็คือฝ่ายที่เรียกว่า จิตตาภิบาล หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Chaplaincy ครับ จะเป็นฝ่ายที่ดูแลเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของนักศึกษาในมหาลัย ไม่ว่าคุณจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกซ์ คือศาสนาใด ๆ ก็ตาม จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายจิตตาภิบาลคอยดูแลซัพพอร์ตเรื่องความเชื่อและพิธีกรรม

อย่างตัว Strand Campus ก็จะมีโบสถ์อยู่ในมหาวิทยาลัยเลย เป็นวัด เป็นโบสถ์ประจำมหาลัย จะมีพิธีกรรมประจำสัปดาห์ บางทีผมก็จะไปร่วมพิธีตรงนั้น พอเสร็จพิธีก็จะมี Meeting ทานข้าว ทานของว่าง พูดคุยกันครับ เราก็จะสนิทกับหลายคนใน Chaplaincy เค้าก็จะคอยซัพพอร์ต ใครมีปัญหาอะไร เรียนหนักหรือมีเรื่องทุกข์ใจ เค้าก็จะ ช่วยให้คำปรึกษา ทำให้เราผ่อนคลาย เป็น Space ที่ให้นักศึกษามาพักผ่อนได้ ส่วนตัวผม 50% จะอยู่ Strand Campus ส่วนอีก 50% ก็จะไป Gallery เพราะฉะนั้นก็อาจจะไม่ค่อยได้เข้าทุกตึกทุกอาคารใน Strand ซักเท่าไหร่ ถ้ามาก็จะไปอยู่ที่ Chaplaincy บ้าง ส่วนเรื่องอาหารการกิน ผมว่าราคาก็เป็นมิตรอยู่ครับ

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

ปกติในมหาวิทยาลัยเราอยู่กับนักเรียนไทยหรือว่าอยู่กับเพื่อน ๆ ต่างชาติคะ?

Jang : จริง ๆ เราไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่มีเพื่อนที่เจอกันในหลักสูตรครับ คนไทยแทบไม่เจอเลย บางคนก็เคยเจอตอน Pre-departure แต่ว่าด้วยความที่ผมอยู่แค่ที่ Strand กับ Gallery อย่างละครึ่ง ก็อาจจะไม่ได้เจอคนที่อยู่ Strand ซักเท่าไหร่ ยิ่งวิทยาเขตอื่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย จะมีไป Guy’s Campus บ้างเพราะอยู่ใกล้หอ แต่ว่าจะไปร่วมกิจกรรมของ Chaplaincy ครับ เพื่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนในหลักสูตรด้วยกัน แล้วก็มีเพื่อนที่อยู่ในฝ่าย Chaplaincy มี Meeting มีทานข้าวด้วยกัน เพื่อนที่เรียนด้วยส่วนใหญ่ก็จะปรึกษากันเรื่องเรียน สนุกมากครับ ทุกคน Enjoy คุยกันตลอด คงเพราะเราเป็นเอเชียคนเดียวก็เลยเอ็นดูเราด้วยมั้ง (หัวเราะ) มาจากไหนก็ไม่รู้ มาเรียนศาสนาคริสต์ หลุดโลกมาอยู่คนเดียว

รีวิวการใช้ชีวิตนักศึกษาใน London

Jang : ทุกคนชอบถามว่า อยู่ London มันวุ่นวายหรือเปล่า แต่เราโตมาในกรุงเทพอยู่แล้ว เราโตมาในเมือง เราก็จะรู้สึกว่า เออมันก็คือเมือง ผมชอบเมืองนี้ที่ว่ามันเป็นเมืองที่มีการรวมตัวของผู้คนที่มีความหลากหลาย การอยู่ที่นี่ก็มีอะไรให้ทำ มีอะไรให้ดูตลอด โชคดีอย่างหนึ่งของผมคือ ผมอยู่หอของ King’s Residences เลย อยู่ใน City of London ก็คือใกล้ ๆ กับ Tower of London เลย ก็เดินได้ถ้าขยันเดินครับ เพราะฉะนั้นการเดินในเมืองคือเป็นอะไรที่เพลินมาก ๆ แล้วก็อย่างที่บอก เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ โบสถ์ก็เยอะ พิพิธภัณฑ์ก็เยอะ มีอะไรให้ดูตลอด Event ก็มีเป็นประจำ อย่างตอนเดือนพฤศจิกายนก็จะมีขบวนพาเหรดใหญ่ประจำปี เราก็ยืนดูกันเป็นครึ่งวัน การเดินทางก็สะดวก อยากได้อะไรก็ได้ อยากซื้ออะไร ทานอะไร อาหารชาติไหนก็มีหมด คิดว่ามันสะดวกครับ

 

มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองอื่นบ้างมั้ย?

Jang : ไปมาแค่ 2 ที่เองครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรา Enjoy กับที่นี่ แล้วก็เรียนเยอะด้วย วัน ๆ เอาแต่อ่าน Text เราก็งง เห็นเพื่อนบางคนไปเที่ยวบ่อยจัง เค้าเอาเวลาที่ไหนไป (หัวเราะ) แต่เราก็เข้าใจว่าหลักสูตรมันไม่เหมือนกัน คือของเราอ่าน Text กัน Week ละ 40-50 Text ต่อวิชานึง เรียนเสร็จก็กลับหอไปอ่านต่อ นอนตื่นมาก็ไปเรียนอีก ส่วนที่เคยไปก็คือ Windsor ใกล้ ๆ เลยครับ ที่เป็นชานเมือง จริง ๆ ที่ผมชอบ Windsor ก็คือมันเดินทางแค่ชั่วโมงครึ่งจาก London ค่า Bus ก็ประมาณ 2 ปอนด์ แล้วก็รู้สึกว่ามันต่างกันคนละโลกกับ London ที่เป็นตึกใหญ่ ๆ ที่ Windsor จะเป็นทุ่ง เป็นป่า เป็นต้นไม้ไปเลย รู้สึกว่ามันเหมือนได้ไป Refresh ไปดูธรรมชาติ ไปดูปราสาทเก่า ๆ จะไปแบบ One Day Trip ก็ได้ ส่วนอีกเมืองที่ไปคือ Oxford ครับ ก็สมกับที่เป็นเมืองนักศึกษา เมืองมหาลัยเก่าแก่ มันก็จะมีความขลัง มีบรรยากาศของความเป็นเมือง Academic อยู่ตรงนั้น ชอบมากครับ เดี๋ยวคงได้ไปซ้ำอีก แต่ช่วงนี้พออากาศเปลี่ยน แดดเริ่มออก อากาศเริ่มอุ่น มันเริ่มไม่ใช่สีเทา ๆ หนาว ๆ แล้ว ก็เลยคิดว่าเราต้องลุยให้มากกว่านี้แล้ว

แล้วได้ไปดูงานของ Gallery ที่อื่นบ้างมั้ยคะ?

Jang : ส่วนใหญ่จะอยู่ในอังกฤษครับ แต่เราก็คุย ๆ กันไว้ว่า เออเราก็อยากมีทัวร์ คือจะมีงบกองกลางของภาคอยู่ จริง ๆ อย่างเดือนที่แล้วเราก็พึ่งจัดทัวร์กับเพื่อน ๆ นักศึกษาด้วยกันในหลักสูตร เราไปเที่ยวที่ The King’s Gallery ที่ Buckingham Palace ด้วยกัน ตอนนั้นมีนิทรรศการศิลปะ Renaissance เราก็รวมตัวกันไปเลย เหมาตั๋วไปทัวร์หอศิลป์ด้วยกัน ก็สนุกดีครับ ได้พูดคุยกัน ภาพนั้นเป็นยังไง ภาพนี้เป็นยังไงบ้าง อะไรแบบนี้

 

ลองขายคอร์สเรียนนี้ให้กับคนที่สนใจหน่อยค่ะ

Jang : คอร์สเรียนมันจะเปลี่ยนชื่อเป็น Theology, Bible, and the Arts คือมันไปเน้น Theology กับ Religious มากขึ้น ผมโชคดีอย่างนึงคือได้ทันเรียนกับอาจารย์ 3 คนในสาขานี้ก่อนที่เค้าจะเกษียณปีนี้พอดีครับ เพราะงั้นหลักสูตรมันก็จะเปลี่ยนวิชานิดนึงเพราะมีอาจารย์คนใหม่มา แต่อาจารย์ใหม่ก็จะเป็น Supervisor ให้กับ Dissertation ของผมเอง ชอบมาก คนนี้เก่ง ความสนใจเราตรงกัน คือถึงโครงสร้างหลักสูตรก็อาจจะเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ก็จะมีวิชาหลักเหมือนเดิม โดยเฉพาะวิชาที่เราจะไปเรียนที่ The National Gallery แล้วก็สำหรับคนที่จะมาเรียนในปีการศึกษาที่จะถึงนี้หรือปีถัดไป คุณโชคดีนะครับ เพราะว่าปีกตะวันตกหรือ The Sainsbury Wing ของ The National Gallery ที่ปิดซ่อมมาหลายปีมันจะเปิดอีกครั้ง แล้วบอกเลยครับว่า Artwork ที่อยู่ในนั้นจะมีเยอะมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นคุณจะได้ดูศิลปะหลายแบบหลายชิ้นมากกว่าปีของผม สนุกแน่นอนครับ

เรียนจบจากคอร์สนี้แล้ว ไปทำอาชีพอะไรต่อได้บ้าง?

Jang : มันก็จะมีสายเชิงวิชาการครับ อย่างผมก็เล็งไว้ว่าอยากจะไปเป็นอาจารย์สอนด้านนี้เหมือนเดิมที่มหาวิทยาลัยที่เมืองไทย หรือไม่ก็ไปเป็น Curator ในพิพิธภัณฑ์ ดูแลเรื่องของโบราณวัตถุหรือการจัดการการศึกษา การจัดแสดงครับ

ทีนี้อย่างที่ผมบอก หลายคนที่มาเรียนหลักสูตรนี้ก็มี Background หลายอย่าง บางคนเป็นนักบวช หรือทำงานเกี่ยวกับทางศาสนา ก็เอาความรู้ไปใช้ได้ บางคนก็เป็นศิลปิน เป็นดีไซเนอร์ ทำงานเกี่ยวกับ Creative งานอาร์ต การเรียนคอร์สนี้ก็จะทำให้เราเข้าใจไอเดียของการออกแบบศิลปะ หรือวิธีการทำความเข้าใจศิลปะว่า ศิลปินคิดอะไร แล้วคนดูจะคิดอะไร ก็ช่วยทำให้เกิดวิธีการสร้างสรรค์ผลงานออกมาอีกแบบหนึ่ง เอาไปประยุกต์ใช้ได้เหมือนกันครับ มันครอบจักรวาลครับ เทววิทยามันไม่ใช่อดีต มันไม่ใช่ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง มันอยู่ทุกที่ อย่างน้อยมันเปิดมุมมองให้เราเข้าใจสังคมแล้วก็ทำความเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ในโลกด้วยครับ

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

การเตรียมตัวเรียนต่อ กับ Hands On

Jang : ส่วนใหญ่ก็จะเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ตก่อน แต่ทีนี้ก็คิดว่าทำอย่างเดียวมันจะพอมั้ย โดยเฉพาะสาขานี้ที่มันเฉพาะทางมาก ๆ หารีวิวยากด้วย คนไทยที่ไปเรียนสาขานี้ก็คงจะน้อย อย่างหนึ่งที่น่าจะช่วยเก็บข้อมูลของมหาลัยได้ก็คือการไปงาน Fair ที่มีตัวแทนมหาลัยต่าง ๆ มาออกบูทครับ เราจะได้มาขอข้อมูล มาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวแทนว่าการเรียนที่นี่มีสภาพแวดล้อมเป็นยังไง การเรียนการสอนเป็นยังไง เราจะได้เจออะไรบ้างเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น เค้าก็จะช่วยแนะนำให้เราไปสืบค้น หรือว่าไปติดต่อกับตัวภาควิชา หาข้อมูลของหลักสูตรต่อที่ไหนบ้าง ตอนนั้นเจอ Ads ของ Hands On เป็นงานแถวอโศก มีทั้งของ UK US แล้วก็ของ Canada งานใหญ่เลยครับ เป็น Exhibition เลย (Hands On Study Abroad Exhibition นิทรรศการเรียนต่อประจำปีของทาง Hands On จัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนของทุกปี)

แล้วก็เห็นว่ามีตัวแทนจาก King’s มาก็คิดว่าต้องได้คุยแล้ว วันนั้นมีซ้อมสอบ IELTS ด้วย ก็เลยจัดเหมาทั้งบ่ายทั้งเย็น อยู่ยาว ๆ ได้ข้อมูลกลับมาเยอะมากครับ คือไม่ได้คุยแค่กับ King’s อย่างเดียว หลายมหาลัยก็ได้ไปคุย ได้โบรชัวร์ แล้วก็เจอกับพี่ที่เราเคยติดต่อกันทาง Line ด้วย ตอนที่ผมลงทะเบียนไปก็มีพี่ติดต่อมา ตอนเริ่มคุยกันเราก็เล่าแผนของเราไปว่า จริง ๆ แล้วผมปักธงเล็งที่ King’s เอาไว้ คือ Christianity and the Arts มันตรงใจเลยครับ ทีนี้ก็เลยง่าย ต่อไปก็คือขั้นตอนการเตรียมตัวสมัคร ทำยังไงให้เรามาที่นี่ได้

บริการของพี่ Hands On ช่วยอะไรเราบ้าง?

Jang : สิ่งสำคัญที่อยากจะขอบคุณเลยก็คือเรื่องกำหนดการครับ ตอนช่วงที่ผมจะยื่นสมัคร Application ก็คือ เริ่มยื่นไปแล้ว ปรากฏว่าผมติดโควิด แล้วมันต้องตรวจปอดก่อน ต้องรอเวลาฟื้นตัวด้วย ผมก็เลยลนมากว่าจะทันมั้ย กว่าจะฟื้นตัว กว่าจะหาย พี่ Hands On ก็เลยทำกำหนดการว่าเอกสารที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง ควรจะต้องเสร็จตอนไหน ควรเตรียมอะไรก่อนอะไรหลัง อันนี้ก็ช่วยได้มากในการวางแผนว่าเราจะต้องจัดการเวลายังไงในช่วงเวลาที่เราป่วย อยู่แต่ในห้องไปไหนไม่ได้ อย่างน้อยเราก็จะได้เคลียร์เอกสารให้เสร็จ พอได้เอกสารมา กรอกอะไรเรียบร้อยแล้ว พี่เค้าก็จะช่วยตรวจให้ด้วยครับ จริง ๆ มันก็เป็นความรับผิดชอบของเราด้วยว่าเราต้องดูข้อมูลหลักสูตร ดู Requirement ว่ามีอะไรบ้าง เราต้องเขียนอะไรประมาณไหน ผมก็ปรึกษาอาจารย์ที่สอนตอนปริญญาตรีด้วย แล้วก็มีพี่ ๆ จากทาง Hands On คอยช่วยครับ แล้วตอนแรกก็หวั่น ๆ ใจอยู่ครับ ก็คิดว่า เฮ้ย ฟรีจริงเหรอ แล้วก็จริง

จริง ๆ ตอนเริ่มหาข้อมูลผมไปเดินหาข้อมูลตามงานเรียนต่อหลายครั้งเหมือนกัน แต่ของ Hands On จุดเด่นคือเป็นเจ้าหน้าที่ representative ตัวจริงของมหาวิทยาลัยนั้น ๆ มาให้ข้อมูลเรา ซึ่งเราสามารถสอบถามเรื่องระบบการเรียนแบบเจาะลึกได้ ข้อมูลที่ได้ก็ 100% มั่นใจได้ครับ

 

มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่อยากมาเรียนที่อังกฤษบ้างคะ

Jang : หนึ่งเลยคือ อย่างผมปัญหาที่มีตอนมาถึงใหม่ ๆ ก็คือเรื่อง Speaking ครับ ผมไม่ได้เรียน Pre-sessional English Course สิ่งหนึ่งที่เจอก็คือเรื่องของการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ถ้าคุณทำพื้นฐานตรงนี้ให้มันแน่น แล้วก็สามารถสื่อสาร รู้คำศัพท์ที่จะต้องใช้บ่อย ๆ ชีวิตจะง่ายขึ้นแล้วก็สะดวกมาก ๆ เลยครับ เราสร้าง Conversation กับทุกคนได้โดยที่ไม่ต้องมาเสียเวลานึกคำหรือว่าติดขัดอะไร อีกอย่างก็คือ บรรยากาศการเรียนอาจจะต่างกับที่เมืองไทยครับ การแบ่งเวลาก็สำคัญ ผมก็เคยเจอมาแล้วเรื่องทำงานใกล้ Deadline แล้วไฟลุก เราต้องแบ่งเวลานะ เราเที่ยวได้ เรา Enjoy กับสิ่งต่าง ๆ ในเมืองได้ แต่อย่าลืมว่าเรามาเรียน ต้องแบ่งเวลาให้ดี ๆ ครับ เตรียมตัวให้พร้อม

 

สนใจวางแผนเรียนต่อ King’s College London หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี ทุกขั้นตอน เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: