พี่ Hands On สรุปสาระเด็ดจากงานสัมมนา “รุ่นพี่ป.โทจากอังกฤษแจกทริค: เตรียมตัวยังไงให้ได้ทุนเต็มจำนวน” ที่ 2 รุ่นพี่ผู้ได้ทุน Chevening จากรัฐบาลอังกฤษ มาแชร์ประสบการณ์สมัครทุนแบบเจาะลึก ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัวไปจนถึงเทคนิคการสัมภาษณ์ทุนให้เข้าตากรรมการ ใครกำลังวางแผนเรียนต่ออังกฤษพร้อมลุ้นทุนในปีหน้า ห้ามพลาดบทความนี้
และถ้าไม่อยากพลาดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ ติดตามพี่ Hands On ไว้ได้เลย ทุกกิจกรรมของพี่เข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกขั้นตอนค่ะ
แนะนำ 2 รุ่นพี่ที่ได้รับ Chevening Scholarship 🎓
ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับ Chevening Scholarship 💰
Chevening Scholarship เป็นทุนที่มอบให้โดยรัฐบาลอังกฤษที่ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเรียนต่อ เป้าหมายหลัก ๆ คือผู้รับทุนจะต้องนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศของตนอย่างยั่งยืน โดยมีเงื่อนไขคือหลังจากจบการศึกษาผู้รับทุนต้องกลับมาทำงานที่ประเทศของตนอย่างน้อย 2 ปี
ผลประโยชน์ที่จะได้รับ
- ค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน
- ค่าใช้จ่ายรายเดือน
- ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับสหราชอาณาจักร
- ค่าเบี้ยเลี้ยงเมื่อถึงอังกฤษ
- ค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับบ้าน
- ค่าทำวีซ่า (สำหรับการทำวีซ่า 1 ครั้ง)
- ค่าเดินทางเพื่อเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของ Chevening ในสหราชอาณาจักร
คุณสมบัติผู้สมัคร
- สัญชาติไทย
- จะต้องเดินทางกลับประเทศไทยและทำงาน 2 ปีหลังจากจบการศึกษา
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.0
- มีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 2 ปี (เทียบเป็น 2,800 ชั่วโมง)
- ได้รับ unconditional offer จากมหาวิทยาลัยที่ยื่นสมัคร
- ไม่เคยได้รับทุน Chevening จากรัฐบาลอังกฤษเพื่อศึกษาในสหราชอาณาจักรภายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
- ไม่เคยทำงานกับรัฐบาลอังกฤษ
สนใจเรียนต่อสหราชอาณาจักร ปรึกษาพี่ Hands On วางแผนเรียนต่อฟรีทุกขั้นตอน!
รวมประเด็นสำคัญในการสมัครทุน Chevening Scholarship 🇬🇧
💬 Process การเตรียมตัวสมัครทุนของพี่ ๆ
🔸พี่ต้น: ในการเตรียมตัว มันจะมี 2-3 ก้อนที่เราต้องเตรียมตัวใช่มั้ยครับ ก็คือสมัครมหาวิทยาลัยที่เป็น Chevening Partner จากนั้นก็สมัครทุน Chevening และเตรียมภาษา ซึ่งต้นโชคดีตรงที่ช่วงโควิดว่างไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยไปสมัครสอบภาษาอังกฤษไว้ จึงมีคะแนนเก็บไว้พอดี ดังนั้นผมก็ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเยอะครับ
🔸พี่พิม: ขอแบ่งเป็น 2 พาร์ทหลัก ๆ ค่ะ พาร์ทแรกก็คือตอนที่เราเตรียมตัวในส่วนของการทำใบสมัคร Application ถ้าเกิดน้องคนไหนอยากสมัคร ให้ลองเข้าไปดูในส่วนของระบบเว็บไซต์ก่อนค่ะ เพราะมันมีข้อมูลที่เราจำเป็นจะต้องอัปโหลดเยอะมากค่ะ
พอพาร์ทต่อมาก็คือช่วงที่เรารอผลว่าเราจะผ่านรอบแรกหรือเปล่า เราก็ไปสมัครทำเรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย แล้วก็เตรียม IELTS ของเราเอาไว้ ทีนี้เราก็ต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปเตรียมเผื่อเราได้รับการสัมภาษณ์ด้วยเพราะว่าพอเวลาเขาส่ง Email มาว่าเราผ่านรอบแรกและได้สัมภาษณ์ เราจะมีเวลาไม่เยอะค่ะ เขาจะมี Slot ให้ประมาณเดือนนึงให้ทุกคนรีบลงเลือก Slot ของตัวเอง แล้วถ้าเราเลือกเข้าไปช้า Slot ก็จะต้องไปสัมภาษณ์ช่วงวันแรก ๆ เพราะช่วงวันท้าย ๆ มันจะเต็มหมด ถ้าช่วงเตรียมสัมภาษณ์จริง ๆ ก็น่าจะประมาณ 2-3 สัปดาห์ค่ะ
💬 การเตรียมหนังสือรับรอง: Recommendation Letter
🍊พี่ Hands On: โดยปกติแล้ว Recommendation Letter ที่มหาวิทยาลัยขอตอนยื่นสมัครเรียนจะอยู่ที่ 2 ฉบับหรือบางมหาวิทยาลัยเรียกแค่ฉบับเดียวก็มีค่ะ ซึ่งน้อง ๆ สามารถยื่นขอจากมหาวิทยาลัยที่ตนเองจบมาหรือขอจากอาจารย์ก็ได้ แต่ถ้าทำงานมาเกิน 2 ปีแล้วแนะนำว่าให้ขอจากหัวหน้างานค่ะ
🔸พี่ต้น: ผมขอเสริมเรื่อง Recommendation Letter คือต้นมองว่ามันเป็นศิลปะเหมือนกันนะ ถ้ามองเป็นกลยุทธ์เนอะ คือพวก SoP หรือ Essay มันคือการที่เราเขียนด้วยมุมมองตัวเอง พูดชมตัวเองมากก็ไม่ดี มันก็พูดได้ประมาณนึงโดยเอา Result สิ่งที่เราทำเป็นตัวตั้ง แต่ว่า Recommendation Letter มันสามารถเขียนในมุมมองของคนที่รักเราแล้วมาเขียนชมเราได้ เพราะฉะนั้นการเลือกคนที่รักเรา รู้จักเราดี ผูกพันกับเรา แล้วก็เขียนโดยที่มีความชื่นชม อาจจะเป็น Key สำคัญ ที่ทำให้ใบสมัครทุนหรือใบสมัครมหาวิทยาลัยแข็งแรงมากยิ่งขึ้น อันนี้ฝากน้อง ๆ ที่กำลังเตรียมทุนอยู่นะครับ
สนใจเรียนต่อสหราชอาณาจักร ปรึกษาพี่ Hands On วางแผนเรียนต่อฟรีทุกขั้นตอน!
💬 การเขียน Essay ของรุ่นพี่
🔸พี่พิม: ในส่วนของ Essay หลัก ๆ จะเป็น 4 คำถามแพทเทิร์นมันจะคล้าย ๆ กันทุกปีค่ะ อย่างตัวอย่างในปีของพิมจะแบ่งออกเป็น
- เกี่ยวกับ Leadership ว่าเรามีและใช้มันอย่างไร
- เกี่ยวกับ Networking
- เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยและคอร์สที่เราสนใจ 3 ที่
- Short-Term Goal กับ Long-Term Goal ของเรา
แต่อย่างปีที่พิมสมัครได้เกี่ยวกับ Networking ในปีก่อน ๆ เขาจะใช้คำว่า Connection ค่ะ จะเป็นแพทเทิร์นประมาณนี้ทุกปี
🔸พี่ต้น: ต้นคิดเสมอเลยว่า Essay นี่แหละคือตัววัดว่าคุณจะผ่านไปสัมภาษณ์ได้หรือเปล่า ซึ่งต้นมองว่าแม้คำถาม Essay มันจะเปลี่ยนไปมากหรือน้อย แต่สาระสำคัญมันยังมีอยู่
ต้นเคยอ่านของรุ่นพี่เราเหมือนกันที่แกเคยเขียนอธิบายเรื่อง Essay เขาให้เราย้อนอดีตว่าเราทำอะไร แสดงความมีภาวะผู้นำอย่างไร กับเรามีเครือข่ายที่สร้างในระหว่างการทำงานของเราอย่างไรซึ่งมันคือ ‘อดีต’ ของเรา แต่ว่ามันจะเชื่อมไปสู่ ‘อนาคต’ ที่เราวาง Career Path ในอนาคตระยะกลาง-ระยะยาว คุณอยากเป็นอะไร คุณอยากทำอะไรเพื่อสังคม แล้วการไปเรียนด้วยทุน Chevening มันจะเป็นสะพานเชื่อมไปสู่อนาคตนั้นอย่างไรครับ
*ยังมีบทความเจาะลึกการเขียน Essay เพื่อสมัคร Chevening Scholarship ด้วยนะ ติดตาม social media ของพี่ Hands On ไว้ได้เลย
💬 การสัมภาษณ์ทุน Chevening กับคณะกรรมการ
🔸พี่พิม: การสัมภาษณ์ของพิมไม่กดดันค่ะ กรรมการมีทั้งหมด 3 ท่าน จะมีทั้งเจ้าหน้าที่สถานทูตที่เป็นคนอังกฤษ คนไทย แล้วก็มีเจ้าหน้าที่โครงการค่ะ ตอนนั้นใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงซึ่งไม่มี Dead Air เลย มีการพูดตอบโต้กันตลอดเวลา
ในส่วนของคำถามมันจะล้อกับเรื่องที่เราเขียนเกือบทั้งหมด ไม่ได้มีแหวกแนวอะไรมากค่ะ ส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นคำถามที่เขาสนใจเกี่ยวกับตัวเรา แต่เราจะต้อง Present ในส่วนที่เราเสนอไปในมุมมองที่แตกต่าง เพราะว่ากรรมการทุกคนอ่าน Essay ของเราหมดแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นสมมติว่าพอเราผ่านรอบข้อเขียนจริง ๆ แล้วถ้าเข้ารอบสัมภาษณ์ เราจะต้องกลับไปดู Essay ที่เราเขียนทุกคำว่าเราเขียนอะไรส่งไป แล้วเราจะไปต่อยอดหรือคิดว่ามันมีประเด็นตรงไหนที่เขาสามารถถามได้ เราจะต้องพยายามมีคำตอบของตรงนั้นทั้งหมด ฝึกค่ะ เวทีมันก็จะเป็นของเรา ไม่ตายไมค์
🔸พี่ต้น: ของต้นมี 3 ท่านเหมือนกัน เป็นเจ้าหน้าที่จากสถานทูตฯ แล้วก็มีคนจากฝั่งวิชาชีพที่เราทำที่ pick up เราไปในประเด็นที่เราเลือก ต้นยอมรับว่าในตอนแรกต้นกดดันตัวเองสูงมาก แต่พอเข้าไปปุ๊บก็พยายามเป็นตัวของตัวเอง
เราก็เตรียมประเด็นใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจาก Essay เพื่อไปทำให้เขารู้จักเราดีมากขึ้น แล้วก็ทำให้เขาเห็น Passion เห็นพลังงานที่ดี ชัดเจนมากขึ้น ต้นว่ามันจะลดความกดดันได้ และเราจะสามารถควบคุมการสัมภาษณ์ได้
พอมันคุยถาม-ตอบไปมาเรื่อย ๆ ก็พบว่าเวทีมันเป็นของเรา แล้วมัน flow อย่างที่พิมบอกจริง ๆ พอเราพูดจนเรายึดพื้นที่ตรงนี้ได้ การถาม-ตอบทุกอย่างเราเป็นผู้ควบคุมเอง เขาจะถามสิ่งที่เราอยากจะพูด บางทีพูดจนมันล้อกับคำตอบของเราอีกเพื่อไปถามอะไรใหม่ ๆ อย่างนี้ ก็สนุกดีครับ
💬 เรียนจบปริญญาโทมาแล้ว สมัครทุน Chevening ได้หรือไม่?
🔸พี่พิม: พิมเคยเรียนปริญญาโทที่อังกฤษมาแล้วใบนึง แต่มันจะมีปัญหาตรงที่ว่าที่อังกฤษเขาจะไม่ให้เราไปเรียนสิ่งที่มัน Level ต่ำกว่าซึ่งที่เราไปเรียนมาแล้วค่ะ ทีนี้ตอนสมัครทุน Chevening เราก็ถามคำถามเขาเพราะว่าหลาย ๆ คนบอกเราว่ามันไม่ได้หรอก เราจบอังกฤษมาแล้วทำไมเขาถึงต้องให้เราไปอีกใบอะ แต่เขาก็ยังให้เรา เราถามเขาเลยในห้องสอบว่าการที่เราไปจบปริญญาโทที่อังกฤษมาแล้วมีปัญหามั้ย? เขาบอกว่าไม่มี เขาเชื่อเรื่องของ Lifelong Learning หรือการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
แต่ในตอนที่ทำกระบวนการสมัครมหาวิทยาลัยแล้ว มันจะมีปัญหาตรงที่เขาขอ Essay เพิ่มว่าทำไมเราถึงต้องไปเรียนปริญญาโทอีกใบ เพราะว่ามัน Level เท่ากัน อันนี้ต้องอธิบายให้ได้ เพราะเขาจะกลัวว่าเราจะหนีไปทำงานอะไรพวกนี้ค่ะ
🍊พี่ Hands On: ทุนนี้จะให้สำหรับนักเรียนที่ไปเรียนต่อปริญญาโท แต่ถ้าอยากเรียนปริญญาเอกก็สามารถทำได้ค่ะ อยู่ที่ว่าคอร์สที่เราจะไปเรียนมันตอบโจทย์ทางคณะกรรมการมากหรือน้อยแค่ไหนด้วย
สนใจเรียนต่อสหราชอาณาจักร ปรึกษาพี่ Hands On วางแผนเรียนต่อฟรีทุกขั้นตอน!
💬 คอร์สเรียนที่เลือกสมัคร มีผลต่อการพิจารณาทุนหรือไม่?
🔸พี่พิม: ในส่วนของอาชีพที่ดูไม่ราชการแล้วก็ไม่ค่อย Contribute อะไรให้ประเทศ หรือดูเป็น Business ของตัวเองอะไรอย่างนี้ แต่ว่าคนที่ได้ทุนกัน สิ่งที่เขานำเสนอก็คืออย่างที่ต้นพูดไปตอนแรกว่าถ้าเราได้ไปมันจะเป็นสะพานเชื่อมเราไปสู่อนาคตของเราที่เราตั้งใจยังไง ทุกคนอาจจะต้องเขียนโดยตระหนักไว้นิดนึงว่า ทำไมเขาถึงจะต้องให้ภาษีประชาชนชาวอังกฤษกับเราที่เป็นคนไทยในการไปเรียน? ส่วนตัวคิดว่าในการทำธุรกิจทุกอย่างหรือแม้แต่จะเป็นด้านศิลปะ ด้านดนตรี มันก็มีแง่มุมที่เราสามารถตอบเป้าหมายของสังคมได้ค่ะ
เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดว่าจะอยู่สายไหนแล้วมีข้อจำกัด เขาจะรับน้อย หรือจบเมืองนอกมา ไม่ต้องคิดเลยค่ะ เพราะว่าเขาไม่ได้ Concern เรื่องนั้น แต่เขา Concern ว่าเราคือใครและเราต้องการอะไร เราต้องการจะ Contribute อะไรให้กับสังคมในภาพรวมได้มากกว่าค่ะ
🔸พี่ต้น: พี่พิมตอบดีมาก แต่เสริมให้ว่า ต้นเชื่อว่าทุกศาสตร์ ทุกวิชาชีพมีคุณค่าในตัวเอง และมีคุณค่าที่จะตอบคุณค่าของส่วนรวมได้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมาสมัครทุน Chevening ด้วยศาสตร์ไหน คุณก็ต้องตอบให้ได้ว่าสิ่งที่คุณอยากจะ Contribute สู่สังคมและประชาคมโลกด้วย มันไม่ใช่ทุนที่อยู่แค่ในสังคมของเรา มันเป็นทุนของอังกฤษ คุณจะตอบแทนมันอย่างไร? ถ้าตอบได้ ไม่ว่าคุณจะไปด้วยศาสตร์ไหน สังคมศาสตร์ ธุรกิจ หรือว่าวิศวกรรมศาสตร์ มันก็ได้อยู่แล้วครับ
💬 3 คอร์สเรียนที่พี่ ๆ เลือก เป็นคอร์สที่มีความใกล้เคียงกันมั้ย?
🔸พี่พิม: ของพิมที่เลือกตอนแรกมี UCL คอร์สที่เลือกจะมีความ Intersection กันแต่มันไม่เหมือนกัน เช่น คอร์สของอันนี้เป็น Public Policy ก็จริงแต่เป็นด้าน Innovation ส่วนคอร์สอีกอันก็เน้นด้านทฤษฎี ส่วนอีกอันเน้นด้านการคิด วิเคราะห์ ปฏิบัติ เน้นด้านฝึกงานแบบนี้ แต่มันต้องมีอะไรเชื่อมกันเพราะ Goal ที่เราจะไปถึงและเหตุผลที่เราเลือกเรียนมันเป็นสาเหตุว่าทำไมต้องเป็นคอร์สเหล่านี้ ก็เลยมีความเชื่อมกันของแต่ละคอร์ส
🔸พี่ต้น: คล้าย ๆ กันเลย ของต้น 3 คอร์สก็ไม่เหมือนกัน แต่มันมีสิ่งที่เชื่อมโยงกัน เช่น สิ่งแวดล้อมเมือง ความยั่งยืน การพัฒนา มันจะเป็นก้อนอะไรพวกนี้ เวลาเขียน Essay ก็เลยง่ายหน่อย
💬 วิธีการเลือกคอร์สเรียนให้เหมาะกับเรา
🔸พี่พิม: จริง ๆ คิดว่าสิ่งนี้เราใช้ ChatGPT ก็ได้นะ คือช่วยกัน Brainstorm แต่ไม่ใช่ในการเขียน Essay แต่เป็นการหาไอเดียได้ เราสามารถใช้เทคโนโลยีหาไอเดียได้ แต่ตอนนั้นของพิมยังไม่มี ChatGPT ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องการเรียนอะไร แล้วก็ไปดูว่าสิ่งนี้ Ranking เป็นยังไงในอังกฤษ จากนั้นก็เข้าไปดูคอร์สในเว็บไซต์แต่ละมหาวิทยาลัยของคอร์ส ว่าเป็นยังไง มีวิชาเลือกอะไรบ้าง เรียนกับอาจารย์ท่านไหน เขา Expert ทางด้านไหน แล้วก็พยายามหา Alumni ของมหาวิทยาลัยนั้น สมมติว่าได้เป็นคอร์สนั้นเลยก็ยิ่งดีแล้วคุยกัน
🔸พี่ต้น: ต้นก็เหมือนพิมเป๊ะเลย ประมาณว่า Research ว่าเราจะได้เรียนอะไร อาจารย์ที่สอนเป็นใครบ้าง อาจจะมีอาจารย์ดัง ๆ ที่เราจะได้ไปเรียนกับเขาแบบนี้ แต่ถ้าให้ตอบกว้าง ๆ ก็คือเราทำงานมาหลายปี เราก็รู้ในทางปฏิบัติและรู้ว่าในทางทฤษฎีเรายังขาดแกนไหนบ้าง เราก็เลือกว่าสิ่งที่จะมีประโยชน์กับเราในอนาคตมีทฤษฎีไหนที่จะมาเติมเต็มเราแล้วเราจะเก่งขึ้น แล้วก็ต้องเป็นสิ่งที่เราสนใจด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวจะเรียนไปแล้วเป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไรครับ
สนใจเรียนต่อสหราชอาณาจักร ปรึกษาพี่ Hands On วางแผนเรียนต่อฟรีทุกขั้นตอน!
💬 เกรดตอนปริญญาตรีสำคัญมากมั้ย ในการคัดเลือก?
🔸พี่พิม: เราว่าสิ่งที่เขาดูหลัก ๆ เลยคือ ชั่วโมงการทำงานของเราถึงหรือเปล่า แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องของ Essay ทั้งหมด เพราะว่าเขาบอกว่าถ้าชั่วโมงการทำงานของเราไม่ถึง Application ของเรามันจะเด้งออกไป เพราะคนสมัครเยอะมาก และเราคิดว่าในสังคมตะวันตก เขาจะให้คุณค่ากับสิ่งที่เราทำใน Professional Life เนอะ คือการศึกษามันก็มีส่วน แต่ว่าเราคิดว่าหลาย ๆ คน หลาย ๆ องค์กรเขาก้าวข้ามจุดนั้นไปแล้ว เขาเปิดโอกาสให้คนมากขึ้น เขาอยากจะรู้ว่าปัจจุบันของเรามีประสบการณ์หรือ Professional Life ของเรามันเป็นยังไงมากกว่า
🔸พี่ต้น: คือเราสมัคร Chevening ตอนที่อายุงานเราประมาณ 8-10 ปี เพราะฉะนั้นเกรดทศวรรษที่แล้วไม่มีผลเลย อันนี้ฟันธงได้เลยว่าไม่มีผล ใครจะมาดู! แต่สิ่งที่คุณทำในช่วงที่คุณเป็นผู้ใหญ่เป็น Professional แล้วคุณทำอะไร Contribute อะไรให้องค์กร ตัวเอง และสังคม นั่นแหละตัวชี้วัดสำคัญ
🍊พี่ Hands On: สำหรับการพิจารณาทุน Chevening เรื่องเกรดอาจจะไม่ได้สำคัญเท่ากับประสบการณ์ทำงาน แต่ทางฝั่งด้านการคัดเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เขาดูที่เกรดเป็นหลักด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่น King’s College London จะกำหนด GPA ขั้นต่ำไว้ที่ 3.5
🔸พี่ต้น: เหมือนไม่ได้บังคับเรื่องเกรดกับคะแนน IELTS แต่มันจะมีการบังคับกลาย ๆ ผ่านการสมัครมหาวิทยาลัยครับ
💬 อะไรคือเหตุผลที่พี่ ๆ คิดว่าสิ่งนี้แหละ ที่ทำให้ได้ทุน?
🔸พี่พิม: คำถามยากเหมือนกันนะคะ (หัวเราะ) เราคิดว่าสิ่งที่เขาเลือกเราน่าจะเป็นสิ่งที่เราทำมาและ Vision ของเราที่สามารถแสดงให้เขาเห็นว่า เราต้องการอะไรจากทุน Chevening ทำไมเราถึงจะต้องไปเรียนที่อังกฤษและต้องเป็นทุนนี้เท่านั้น แล้วเราจะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนเพื่ออนาคตของเรายังไง Goal ของเราอยู่ตรงไหน เราคิดว่าความชัดเจนของเรานี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลือกเรา
🔸พี่ต้น: ของเราก็คล้าย ๆ กัน ต้นมองว่ามันคือ Trust ปะ? เหมือนการที่เราไปกู้เงินธนาคารอะ เราจะทำยังไงให้เขามั่นใจในตัวเรา เราก็ต้องเสนอสิ่งที่เราเคยทำมา ธุรกิจที่เราเคยทำ แล้วอยากจะได้เงินเพิ่มไปลงทุนให้ธุรกิจมันใหญ่ขึ้น เราก็ต้องบอกเขาว่าเราเคยทำอะไรมา เคยสำเร็จยังไง กลับมาที่ทุน Chevening ต้นว่ามันคือ Trust ที่เราทำให้เขาเห็นว่าถ้าเขาให้ทุนเรามา กลับมาเราทำ Impact อะไรได้มากกว่านี้อีก
💬 พี่ ๆ มีอะไรอยากฝากน้อง ๆ ที่สนใจไปเรียนต่อมั้ยคะ?
🔸พี่ต้น: ต้นจะฝากอย่างเดียวว่า ถ้าทุกคนมีเป้าหมายแล้วก็ลุยเลย เพราะว่าการสมัครทุนวันนี้ กว่าจะได้ไปเรียนมันใช้เวลาเป็นปี ๆ เนอะ ไม่ใช่สมัครวันนี้พรุ่งนี้ได้ เพราะฉะนั้นอยากทำก็ทำเลย ไม่ได้ก็ทำใหม่ ฝากแค่นี้จริง ๆ ครับ ว่าอย่าเลื่อน อย่ารอให้พร้อม มันไม่มีจริงนะครับ ทำไปเลยเดี๋ยวมันจะพร้อมเองครับ
🔸พี่พิม: พิมก็อยากจะฝากให้น้อง ๆ ลองหาข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้ยาก มันมีอยู่แล้วในเว็บไซต์ของ Chevening ค่ะ คือคำถามหลาย ๆ อย่างเขาก็จะบอกไว้ชัดมาก ต้องลองไปดูด้วยตัวเองก่อน แล้วพอเรามีโอกาสได้เจอพี่ ๆ Hands On มันจะต่อยอดได้เลย ถ้าเราไม่หาข้อมูลด้วยตัวเองหรือทำการบ้านมาก่อน ตอนเราถามพี่ ๆ Hands On มันก็อาจจะไม่ได้ช่วยมาก เพราะมันเป็นข้อมูลกว้าง ๆ ซึ่งสามารถหาได้ด้วยตัวเอง แล้วก็อย่างที่พี่ต้นบอกคือ อยากทำก็ทำเลย
แล้วใครที่คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นหัวหน้า ประสบการณ์น้อย อายุยังไม่มากหรือมากเกินไป จบปริญญาโทแล้ว อย่าไปคิดว่ามันเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ไม่ได้ทุนค่ะ อย่างเรื่องของพิมที่เล่าวันนี้ก็น่าจะพอให้หลายคนเห็นภาพได้ว่าเราได้ข้ามข้อจำกัดที่หลายคนบอกว่าเราไม่น่าจะได้ทุนนี้ แต่เราก็ได้มาแล้วค่ะ









