แนะนำตัวเองให้รู้จักหน่อยค่ะ
Am: สวัสดีค่ะ ชื่อ แอม นะคะ ตอนนี้แอมทำงานเป็น Psychotherapist อยู่ที่โรงพยาบาลในอังกฤษค่ะ จบจากที่อังกฤษ เป็น Qualification ของที่อังกฤษค่ะ
“อ่านบทความแนะนำสายอาชีพ Psychotherapist ใน UK แชร์ประสบการณ์เรียนต่อโดยพี่แอม”
เช็ก Facts การเรียน Psychology ในอังกฤษ
การเรียนต่างประเทศแตกต่างยังไงกับการเรียนในประเทศไทย
Am: แอมคิดว่าเรื่องของการเข้าถึง Knowledge ค่ะ ความต่างที่ใหญ่ที่สุดก็คือการเข้าถึงห้องสมุดได้ ทั้งห้องสมุดจริง ๆ และ Online ที่สามารถเข้าถึงผ่านรหัสนักศึกษาเพื่อเข้าไปใช้ แอมรู้สึกว่าที่นี่มัน Unlimited จริง ๆ แล้วก็สิ่งที่ห้องสมุดและมหาวิทยาลัยเค้าให้มันครอบคลุม แล้วยิ่งความรู้เรายิ่งมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทำให้สิ่งที่เราจะนำมาใช้ประมวลผลมันลึกมากขึ้น แต่ว่าที่ไทยในตอนนั้นมันไม่มีอะไรแบบนี้ ไม่มีเนื้อหางานวิจัยให้อ่าน ไม่มีการอัปเกรดหรือว่าการเข้าถึง Online library ต่าง ๆ มันไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ค่ะ แต่ตอนนี้ก็อาจจะพัฒนาไปบ้างแล้ว เราก็เลยรู้สึกประทับใจในการได้มาเรียนที่นี่ ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นประเทศแห่งการศึกษาด้วย ก็เลยมีความ Advance ในเรื่องนี้
ถ้าไปเรียนต่างประเทศ จะเหมาะกับการกลับมาทำงานที่ประเทศไทยไหม?
Am: ไม่เหมาะ (หัวเราะ) จริง ๆ ก็ไม่รู้ค่ะ เพราะแอมจบที่นี่ แล้วก็ทำงานต่อที่นี่ เพราะงั้นแอมอาจจะไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ดี แต่แอมสามารถตอบเกี่ยวกับการทำงานที่นี่ได้ว่ามันโตง่ายค่ะ คือความยากมันก็มี แต่แอมคิดว่าที่นี่มันง่ายกว่าที่ไทย เพราะที่ไทยมันไม่มีอะไรรองรับเลย แอมมีเพื่อนที่มาเรียนศาสตร์ประมาณนี้เหมือนกันแล้วเค้าไปทำงานอยู่ที่ไทย เค้าจะต้องทำ Private Practice เป็นหลัก ก็คือเปิดเป็นส่วนตัว มันยากที่จะเข้าไปทำงานอยู่ในองค์กร โรงพยาบาล หรือเข้าไปอยู่ในหน่วยงานอะไรแบบนี้ เพราะว่ามันไม่มีรัฐบาลกลางหรือว่าองค์กรกลางที่ดูแล พวกเค้าเลยต้องดูแลตัวเองในการทำงาน หาคนไข้เอง จัดการอะไรต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาซัพพอร์ต จากเท่าที่ฟังมามันก็ถือว่ายากถ้าทำอาชีพนี้ในไทย
การเรียนจิตวิทยาที่อังกฤษแตกต่างจากการเรียนต่อที่อเมริกายังไง แล้วก็ควรเลือกเรียนที่ไหนดี?
Am: แอมไม่เคยเรียนที่อเมริกา แต่แอมมีเพื่อนเป็น Art Therapist อยู่ที่อเมริกา ถ้าเรียนที่ UK จะเรียน 2 ปี ส่วนอเมริกาก็จะเรียน 3 ปี ถ้าเทียบจากคอร์สเดียวกัน แล้วด้วยความที่มันเป็นสาขาเฉพาะทาง Psychologist หรือ Psychotherapist ที่อเมริกากับอังกฤษก็จะแยกกัน หมายถึงว่าวันนี้แอมเป็น Play Therapist ที่อังกฤษ แต่ถ้าอยากจะไปเป็นที่อเมริกา แอมต้องไปเรียนทุกอย่างใหม่หมด แล้วมันขึ้นอยู่กับรัฐด้วย สมมติว่าวันนี้แอมอยู่ New York แล้วแอมเป็น Play Therapist ถูกต้องแล้ว วันนึงแอมอยากจะย้ายไปที่ Chicago แอมก็ต้องไปสอบ License ใหม่ ในอเมริกามันจะมีความยากในเรื่องของ License ในทุก ๆ อาชีพที่เป็นอาชีพเฉพาะทางเลย อย่างหมอก็เหมือนกัน หมอที่จบอเมริกาแล้วมาทำงานที่ไทยก็อาจจะทำไม่ได้แม้จะมีความรู้มากก็ตาม
“สนใจเรียนต่ออังกฤษในสาขา Psychology ติดต่อพี่ Hands On ได้ฟรี”
หลักสูตร Psychology ที่เรียนใช้คณิตศาสตร์เยอะหรือเปล่า?
Am: ถ้าเป็นคณิตศาสตร์ก็ใช้แค่สถิติอย่างเดียวเลย แต่มันจะเป็นสถิติสำหรับ Research ที่ต้องเรียนพื้นฐานประมาณนึงค่ะ ซึ่งก็จะเป็นสถิติที่เอาไป ใช้กับการอ่านและการทำ Research เพราะว่า Psychology มันเป็นโลกที่วัดด้วยผลค่ะ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่แอมไม่ได้ชอบ (หัวเราะ) เลยทำให้เราอยากจะเรียน Psychotherapy มากกว่า ก็คือมันไม่ได้ต้องเรียนเยอะเรียนกว้าง แต่จะเรียนอยู่แค่ตรงนี้นี่แหละค่ะ เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักสถิติ แต่ระหว่างทางที่ต้องเรียนมันต้องสอบให้ผ่านค่ะ เพราะเวลาที่เราอ่าน Paper ถ้าเราอยากจะอ่านให้มันรู้เรื่อง เราก็ควรมีความรู้เรื่องสถิติอยู่บ้าง ส่วนเรื่อง Biologyจะเรียนเฉพาะสมองทั้งหมดค่ะ Anatomy อื่นไม่ได้เรียนเลย
แชร์ทริคการเรียนต่อต่างประเทศ
พี่แอมแบ่งเวลาอ่านหนังสือยังไงคะ?
Am: เราต้องถาม Goal ในชีวิตของเราก่อนค่ะว่าต้องการอะไร ตอนนั้นคนรุ่นเดียวกันกับแอมไปเที่ยวเยอะมาก หมายถึงว่าเค้ามาเรียนที่อังกฤษ เพราะงั้น Benefit นึงก็คือการได้ออกไปท่องเที่ยว แต่ตอนที่แอมเรียน แอมไม่มีเวลาไปทำอะไรแบบนั้นได้เลย สิ่งที่แอมเรียนมันต้องใช้ความพยายามมาก ซึ่งอาจจะมากกว่าคนที่สามารถหาเวลาไปเที่ยวได้ คอร์สที่เค้าเลือกอาจจะไม่ยากเกินไปสำหรับเค้าหรือมันอาจจะตรงกับ Background ของเค้าอยู่แล้ว มันก็เลยทำให้เค้าสามารถหาเวลาออกไปเที่ยวได้ แอมเลยไม่ได้มีเวลาจะไปเล่นมากในช่วงนั้น เพราะงั้นการเล่นของแอมมันก็ต้องปรับให้เข้ากับเป้าหมาย ถ้าเราอยากทำอาชีพนี้ เราก็ต้องแลก ถ้าถามว่าแบ่งเวลายังไง คือเราไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนมันไม่ได้เครียด มันก็สนุกนะ คือก็มีมาเที่ยวที่ London ครั้งเดียวเลยตอน Christmas หรือ ไป Café อร่อย ๆ กับเพื่อน เที่ยวสถานที่ใกล้ ๆ อะไรแบบนี้ค่ะ ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามีความสุขแบบง่าย ๆ ซึ่งทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเรียนแบบแอมนะคะ
แนะนำหนังสือสำหรับปูเนื้อหา Psychology ให้หน่อยค่ะ
Am: เล่มแรกที่แอมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันดีมากค่ะ ชื่อหนังสือว่า Psychology: The Science of Mind and Behaviour ของ Richard Gross
พี่แอมมีเคล็ดลับในการจำเนื้อหายังไงบ้าง?
Am: แอมชอบทำ Mind mapping อยู่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ตาม มันเห็นเป็นภาพใหญ่ภาพเดียว แล้วทุกอย่างมันเชื่อมเข้าด้วยกันกับหัวข้อหรือสิ่งที่จำเป็นต่าง ๆ จากนั้นถึงเล่ามันออกมาอีกที เหมือนแปะมันเอาไว้แล้วก็เล่าค่ะ ว่าอันนี้คืออะไรโดยที่ไม่ได้มีเนื้อหาที่เราจะพูดอยู่ในนั้น เพราะความรู้มันควรจะมาจากความเข้าใจของเรา ถ้าเราไม่ได้จำก็แปลว่ามันอาจจะไม่มีประโยชน์ในชีวิตเราหรือเปล่า คือเราไม่จำเป็นต้องจำทุกอย่างนะคะ เลือกจำบางอย่างเอาก็พอ
พี่แอมฝึกภาษาอังกฤษยังไงให้เข้าใจคะ?
Am: ไม่ได้ฝึกค่ะ คือเราใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ถ้าอยู่ไทยก็หาที่ที่จะได้ใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าหาไม่ได้ก็พยายามพูดกับตัวเองค่ะ
วิธีการดูแลตัวเองช่วงเรียนต่อที่อังกฤษ
พี่แอมจัดการกับความเครียดยังไงคะ?
Am : ตอนเรียน Psychology ไม่มีใครมาสนใจความเป็นอยู่ของเราหรอก เค้าดูแค่ผลงาน แต่ตอนเรียน Psychotherapy เค้าบังคับให้ Trainee ทุกคนต้องมี Therapist เป็นของตัวเองตั้งแต่ปี 1 เลย ซึ่งแอมว่ามันดีมาก แอมคิดว่าคอร์สที่เรียนมันคือ Life changing จริง ๆ มันไม่ใช่แค่คอร์สเกี่ยวกับอาชีพ แต่มันเป็นเหมือนคอร์สที่เราจะเปลี่ยนตัวเอง กล่าวคือคนไข้คนแรกในชีวิตเราก็คือตัวเราเองนี่แหละ เหมือนถ้าเรามีบ้านที่มันรกมาตลอดชีวิต คอร์สนี้จะเข้ามาจัดบ้านให้ เรียงบ้านให้เป็นระเบียบ หลังจากนั้นก็จะให้เราเลือกว่าอยากทำบ้านให้เป็นแบบไหน ความเครียดสำหรับแอมมันมาจากการที่เราไม่เคลียร์กับชีวิตอะ สารความเครียดมันก็จะหลั่งออกมา เพราะฉะนั้นการจัดการความเครียดที่ดีที่สุดสำหรับแอมคือการเคลียร์ตัวเองค่ะ ต้องสังเกตว่า เออ ตอนนี้เราเครียดแล้วนะ มันมีสัญญาณอะไรออกมาหรือเปล่า แล้วก็คุยกับสิ่งนั้นว่าสาเหตุมันมาจากอะไร เราใช้ Energy เกินกว่าที่เรามีหรือเปล่า แล้วถึงค่อยจัดการจากตรงนั้นไปค่ะ
มีการดูแลสมองหรือทานอาหารเสริมอะไรบ้างหรือเปล่า?
Am: ดูแลค่ะ แล้วก็มีทานอาหารเสริมด้วย (หัวเราะ) Tie-In มั้ยคะเนี่ย ก็ดูแลมาก ๆ เลยค่ะ Self-care คือ Priority ในชีวิตเลย เพราะว่าถ้าเราไม่ทำ เราก็จะให้ในสิ่งที่เราไม่มีไม่ได้ เพราะงานของแอมมันคือการต้องให้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการที่เราต้องเติมเต็มตัวเองมันสำคัญมาก ๆ
แชร์ประสบการณ์การฝึกงานและการทำงานในอังกฤษ
เล่าเรื่องฝึกงานให้ฟังสักหน่อยได้ไหมคะ?
Am: เครียดนะคะตอนนั้นน่ะ มันเป็นสิ่งใหม่ เลยมีความกดดัน ทำผิด ๆ ถูก ๆ เพราะการเป็นนักบำบัดมันเหมือนเราต้องฝืนทุกความเป็นมนุษย์ที่เราเคยเป็นมาทั้งชีวิตของเรา เราต้องตื่นตัวตลอดเวลาว่าที่เราพูดออกไปแบบนี้มันมาจากอะไรในตัวเรา เรากำลังเอาเรื่องของเราไปปนกับเรื่องของคนไข้อยู่หรือเปล่า เหมือนเราต้องมีสติจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งตอนนั้นมันยังไม่ใช่ธรรมชาติของเรา แต่ว่าเค้ามี Supervisor ให้ เค้าคือคนที่จะมองดูการเติบโตเรา ทุกอาทิตย์เค้าก็จะให้อัดวิดีโอตอนที่เราทำการบำบัดด้วย ซึ่งเราก็ต้องทำ Consent form กับคนไข้และครอบครัวของเค้า จากนั้นถึงเอาวิดีโอไปเปิดให้ Supervisor ของเราดูพร้อมกับโน้ตที่เราเขียนส่งไปให้เค้า แล้วเค้าก็จะช่วยแนะนำเราผ่านวิดีโอกลับมา มันเป็นคอร์สที่ต้องเอานักบำบัดมือใหม่เข้าไปทำงานจริงกับคนไข้ ซึ่งเค้าจะให้เป็นเคสง่าย ๆ ก่อน ที่ความเสี่ยงมันต่ำ แล้วก็จะทำกับ Supervisor ให้เค้าเห็นเราว่าเราทำอะไรบ้างตอนบำบัด แล้วเค้าก็จะช่วยดูแลเราว่า ทำแบบนี้ไปทำไมนะ ที่เป็นแบบนี้มันเพราะอะไร ก็คือช่วยเปลี่ยนความคิดเราค่ะ ก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกอาทิตย์ตลอด 2 ปี พอเรียนจนเสร็จมันก็กลายเป็นธรรมชาติของเราไปเลยค่ะ
พอเรียนจบคอร์ส เรายังต้องไปสอบใบประกอบวิชาชีพต่อมั้ยคะ
Am: ที่อเมริกาต้องสอบค่ะ แต่ที่นี่ไม่ต้องสอบ คือคอร์ส กับหน่วยงานที่ให้ License เรามันเชื่อมกันอยู่แล้ว เพราะงั้นทุก Requirement ที่เค้าต้องการ เค้าจะใส่มาในคอร์สนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นอะไรที่มันต้องทำเวลาสอบ License แล้วมีกระบวนการแยก เค้ารวมไว้ในคอร์สนี้หมดแล้ว หลังจากนั้นก็จะมีจดหมายออกมา สิ่งที่เราทำต่อไปก็คือ เอาสิ่งนี้ไปสมัคร ในองค์กรที่รับ License นั้น เค้าก็จะเช็คทุกอย่างแล้วถึงส่งมาบอกว่าเราผ่านแล้ว
โรงพยาบาลที่อังกฤษรับเข้าทำงานยากมั้ย? หรือว่าถ้ามี License ก็ทำได้เลย
Am: ถ้ามี License แล้วก็การันตีค่ะว่าทำได้ มันมี Requirement บอกอยู่แล้วว่าต้องมี คือที่นี่มันจะมีพวก License เยอะ มี BACP BAPT SCPC ซึ่งเค้าก็จะบอกว่าคนที่มี License อันนี้เท่านั้นถึงจะรับ เพราะงั้นถ้ามี License ก็มีสิทธิ์ที่จะยื่นสมัคร แต่ได้มั้ยก็อีกเรื่องนึงค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ เรื่องของการสัมภาษณ์อะไรแบบนี้แหละค่ะ
ช่วงที่พี่แอมเป็นนักบำบัดมือใหม่ พี่จัดการความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองยังไงคะ?
Am: คำพูดในหัวตอนนั้นที่ได้มาจากอาจารย์ก็คือ “Fake it until you make it” คือต้องแสดงออกไปเหมือนว่าเราเก่งแล้ว เหมือนเราต้องหลอกตัวเองอะว่าเราทำได้ เราได้รับการรับรองแล้ว เราต้องมั่นใจ ไม่ว่าข้างในเรากลัวอะไร อันนั้นค่อยมาจัดการกับตัวเองหรือไปหานักบำบัด หา Supervisor ของเราทีหลัง ทุกครั้งที่เราอยู่ต่อหน้าคนไข้อะ ต้องบอกตัวเองว่าเราเป็นนักบำบัดที่คู่ควร เพราะถ้าเรามีพลังงานแบบนี้จากข้างใน มันก็จะออกมาเองค่ะ
ช่วยกระซิบรายได้คร่าว ๆ ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ คุ้มทุนการไปเรียนต่อไหม?
Am: ความคุ้มค่าของแอมมันไม่ได้อยู่ที่เงิน มันก็เลยคุ้มค่าสำหรับแอม ด้วยความที่แอมทำงานหลายอย่าง แอมจะขอบอกรายได้จากภาครัฐแล้วกัน คือแอมทำงาน 3 อัน หนึ่งก็คือทำงานกับโรงพยาบาล เป็นงานที่มั่นคง ส่วน Part time แอมก็ทำงานกับ Charity ทำเป็น Project Range ก็คือดีค่ะ ต้องบอกก่อนว่าที่นี่ ข้อดีของมันคือคนที่เป็นเฉพาะทาง มันไม่มีการกดรายได้อะไรเลย เวลาไปสัมภาษณ์งานมันไม่ต้องต่อรองเงินเดือน เพราะค่าเงินมันถูกกำหนดไว้ตาม License ของเราแล้ว ตัวภาครัฐเค้าก็จะมี Salary bands ซึ่ง Band ของแอมอยู่ Band ที่ 6-7 มันจะเป็น Band ของ Specialist ก็ไปคำนวนกับเสิร์ชหาเอาเองเนอะว่าเงินเดือนต่อปีมันอยู่ที่เท่าไหร่ (ยิ้ม)
สายอาชีพ Clinical ที่ UK มีการแข่งขันกันสูงมั้ยคะ?
Am: แอมว่าทุกอย่างใน UK มัน Competitive เพราะว่าถึงจะมีงานเปิดเยอะก็จริงเพราะเป็นประเทศใหญ่ แต่มันก็มีตัวเลือกเยอะเช่นกัน เพราะงั้นใน 1 ตำแหน่งก็อาจจะมีผู้สมัคร 100 คนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แล้วก็ไม่ได้มีแค่คนชาติเดียว มันคือคนทุกเชื้อชาติแข่งกัน แล้วยังเป็นหัวกะทิของชาตินั้น ๆ มาแข่งกัน ตอนที่แอมหางานอะ ก่อนที่จะได้งานที่โรงพยาบาลก็ใช้เวลาไปประมาณ 6 เดือนกว่าจะได้งานนี้ และก็ถูกปฏิเสธจากหลายที่เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าถามว่า แข่งขันกันสูงมั้ย ก็สูงค่ะ แต่โอกาสเยอะกว่าที่ไทยมากเลยค่ะ แต่คนที่เข้าไปมันก็จะมากตามมาเหมือนกันค่ะ
| ช่องทางติดตามพี่แอม 
 Facebook Fanpage : Play Therapy with love Instagram : playtherapywithloveth YouTube: Play Therapy with love  | 
วางแผนเรียนต่ออังกฤษหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี ทุกขั้นตอน เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง









