Hands On Education Consultants

รีวิว PhD Nursing ที่ King’s College London โดย Por

แนะนำตัวให้รู้จักหน่อยค่ะ

Por: ชื่อปอค่ะ ตอนนี้เรียน PhD Nursing ที่ King’s College London

ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่คะ?

Por: จริง ๆ ก็คือได้ทุนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นทุนพัฒนาอาจารย์ค่ะ เขาก็จะให้เด็กทุนทุกคนหาที่เรียนเอง ส่วนการให้ทุนจะพิจารณาจาก Ranking ของมหาวิทยาลัยค่ะ ซึ่งที่ KCL มีคอร์ส Nursing เป็นอันดับ 1 ของโลก (QS World University Rankings by Subject 2025) เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้เรามีโอกาสได้ทุนตรงนี้ค่อนข้างจะ 100% แน่นอน ก็เลยเลือกเรียนที่ King’s College London ค่ะ

ตอนแรกสมัครที่ออสเตรเลียไว้ค่ะ แต่อย่างที่บอกคือเวลาแหล่งทุนจะพิจารณาการให้ทุน เขาก็จะดูจาก Ranking ค่ะ Ranking ที่ KCL มันคืออันดับ 1 เพราะฉะนั้นก็เลยไปไหนไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ไม่ต้องพิจารณาอันอื่นแล้ว พอส่งไปเขาก็จัดให้เรียนที่นี่เลยค่ะ

การเตรียมตัวเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษ

ขั้นตอนการสมัครทำยังไงบ้าง?

Por: PhD หรือคอร์สของปริญญาเอก มันจะมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า Master Degree เพราะว่าเอกสารที่ใช้สมัครของ Master Degree จะใช้ Document ใช้เอกสาร หลักฐาน Transcript แต่ของ PhD จะไม่ได้พิจารณาตรงนั้นเท่าไหร่ สิ่งที่เขาจะดูเป็นหลักก็คือตัว Research Project อันนี้สำคัญมาก เราจะสมัครได้ก็ต่อเมื่อมี Supervisor เขาถึงจะรับเราค่ะ ถ้าไม่มี Supervisor ก็จะยื่นสมัครไม่ได้เลย อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญเลยก็คือเรื่องภาษาอังกฤษ ถ้าภาษาอังกฤษเราพร้อมจะดีมากค่ะแต่ที่นี่เขาก็จะมี Pre-sessional Course Provide ให้ด้วย ซึ่งที่ควรให้ความสำคัญคือต้องแบ่งเวลาให้ดี ๆ เพื่อพัฒนาตัว Research Project ให้ Supervisor เขารับเราเข้าเรียนให้ได้ก่อนค่ะ

 

วิธีการหา Supervisor

Por: แต่ก่อนก็จะติดต่อไปที่ตัวอาจารย์โดยตรงเลยค่ะ ส่วนช่วงหลังมานี้ รู้สึกว่านักเรียนอาจจะ Direct ไปหาอาจารย์เยอะไปนิดนึง ทางมหาวิทยาลัยก็เลยเปลี่ยนเป็นระบบกลาง ให้ติดต่อผ่านแอดมินส่วนกลางก่อน แล้วเดี๋ยวเค้าจะส่งไปให้ Supervisor ทีหลัง เพราะไม่งั้น Email มันอาจจะเยอะมากค่ะ

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

รีวิวการเรียน Pre-sessional English Course ที่ King’s College London

Por: Pre-sessional มีทั้งหมด 3 แบบ ก็จะมี Onsite, Online และ Hybrid ค่ะ แต่สมัครได้แค่ปีละครั้ง เพราะฉะนั้นก็ต้องดูช่วงเวลาดี ๆ ถ้าสมัครไม่ทันก็คือต้องรอปีถัดไป ซึ่งมันจะทำให้การเรียนเราช้าไปเลย ถ้าเราอยากจะพัฒนาตัวเองและปรับตัวไปด้วย ก็อยากจะแนะนำให้ลงเรียนแบบ Onsite ซึ่งอาจจะต้องเก็บเงินนิดนึง

ที่แนะนำแบบ Onsite เพราะมันได้มากกว่าภาษาอังกฤษ ที่นี่ไม่ได้เรียนแต่ Grammar อย่างเดียว การเรียนของเค้าจะเป็น ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แล้วก็จะ Adapt และ Develop เข้าสู่ตัวหลักสูตร เพราะฉะนั้นตัวเนื้อหาต่าง ๆ ก็จะเป็นสิ่งที่เราจะได้เรียนในหลักสูตรปริญญาของเราอยู่แล้ว

และมีเนื้อหาการเรียนที่ประยุกต์หัวข้อเป็นด้านวัฒนธรรม ชอบมากเลยค่ะ ชั่วโมงนี้ มันทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมอังกฤษว่าทำไมเขาถึงเป็นอยู่แบบนี้ การที่เราจะมาอยู่ร่วมกับเค้าต้องปรับตัวยังไงบ้าง ส่วนอาจารย์ที่สอน Cultural เค้าก็เป็นติวเตอร์ประจำชั้นด้วย ก็เลยยิ่ง British จ๋าเข้าไปเลย

ที่สำคัญเลยคือสิ่งแวดล้อม และได้เจอเพื่อน ๆ ก่อนค่ะ มันสำคัญมาก ที่นี่เด็กจีนเยอะมากคนจีนแทบจะเป็นประชากรส่วนใหญ่ มีจัด Events ให้คนจีนโดยเฉพาะด้วย อย่างตรุษจีนก็มีหมด เราก็จะได้เพื่อนคนจีนเยอะมาก ๆ ค่ะ

และอีกอย่าง Pre-sessional ที่นี่เรียนรวมกันทั้งปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนที่เรียนปริญญาโท ส่วนเพื่อนปริญญาเอกก็มีแต่น้อยค่ะ

 

รีวิวการเรียน PhD Nursing ที่ King’s College London

Por: ปริญญาเอกของที่นี่มันจะไม่เหมือนกับของอเมริกาเพราะเป็น Research Base ค่ะ อย่างที่บอกไปเลยตอนต้นว่ามันยุ่งยากตอนสมัคร แล้วตัว Research Project ก็ต้องเรียบร้อย Supervisor ก็ต้องตอบรับ (accept) ที่จะคอยดูแลเราตลอด 3-4 ปี และหลักสูตรเรียนทั้งหมด 3 ปี แต่ส่วนใหญ่จะเรียนจบกันประมาณ 4 ปีค่ะ พอเป็น Research Base มันก็จะไม่มี Course Work เพราะฉะนั้นเราก็ต้องบริหารชีวิตเอาเอง

ที่นี่เค้าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เยอะมาก ช่วง Pre-sessional ถ้าเราเรียน Onsite ก็จะปรับตัวได้ง่าย ส่วนเวลาที่ต้องการจะใช้บริการหลาย ๆ อย่างจากมหาวิทยาลัย ถ้าเรารู้มาก่อนก็จะไปหาใช้งานได้ง่าย แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนยินดีช่วยเหลือและให้คำแนะนำอยู่แล้วค่ะ

เด็ก PhD จะมีห้องออฟฟิศส่วนตัวค่ะ มีโต๊ะ มีคอมส่วนตัว สองจอใหญ่เบ้อเริ่มเลยค่ะ มี Printer มีเครื่องถ่ายเอกสาร มีห้อง Lounge มีให้ทุกอย่างเลยค่ะ และที่ King’s College London มีตึก PhD แยกออกมาเลย คืออลังการมาก

อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นยังไงบ้าง?

Por: ดีมากเลยค่ะ อาจารย์ปริญญาเอกนอกจากตัว Research Project จะต้องปังแล้ว Supervisor ประจำตัวเราก็เป็นอีก ส่วนนึงที่จะพาให้เราเรียนจบหรือเรียนไม่จบ คิดว่าน่าจะเป็นทุกที่ที่เป็น Research Base ที่มันจะ Depends On Supervisor ถ้าเราเข้ากับ Supervisor ได้ดี เคมีเข้ากัน มันก็จะคุยกันรู้เรื่อง งานก็จะเดินหน้าไปได้เร็วค่ะ

เพราะฉะนั้นที่ King’s การเลือก Supervisor มันก็เลยจะต้องละเอียดนิดนึง ต้องใช้เวลาในการพิจารณาว่าจะไปด้วยกันได้หรือเปล่า แล้วมันจะมีการ Interview 2 รอบเพื่อดูว่าระหว่างนักเรียนกับอาจารย์จะไปด้วยกันได้มั้ย เพราะจะต้องทำงานกันเป็นทีมค่ะ ตอนแรกก็จะมี Supervisor 2 คน พอทำไปทำมาก็จะกลายเป็น 4 เป็น 5 ก็คืออาจารย์ 5 คนต่อเด็ก 1 คน สำหรับเด็ก PhD มันก็จะเข้มข้นมากด้วยค่ะ ละเอียดมากทุกขั้นตอน

มีอาจารย์คนไหนที่โหดสุดมั้ยคะ?

Por: อันนี้พอดีเรียนสาขาจิตวิทยา เป็น Mental Health ค่ะ อาจารย์ก็จะเป็นทีมของ Mental Health ทั้งหมด ข้อดีคือเขาจะซัพพอร์ตจิตใจเด็กค่ะ คือถ้าเทียบกับเพื่อนที่มาเรียนสาขาอื่นก็จะโหดอยู่ แต่ว่าก็ยังคงเข้มข้นตามมาตรฐานของเค้าให้สมกับเป็นอันดับ 1 ของโลกค่ะ (ยิ้ม)

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

การเรียนปริญญาเอกหนักมากมั้ยคะ?

Por: ด้วยความที่หลักสูตรของที่นี่เป็น Research Base สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ ถ้าเรามีประสบการณ์ในการทำวิจัยมาก่อนก็จะไม่หนักมาก แต่ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์เลยมันก็จะยากนิดนึง คือมันจะมองภาพรวมไม่ออกว่า Project มันจะไปทางไหน ต่อไปจะทำอะไรต่อ อันนี้เห็นตัวอย่างมาจากเพื่อนคนจีนค่ะ คือเค้าไม่มีประสบการณ์มาก่อน เค้าก็จะรู้สึกว่ามันยากทุก Step ตอนนี้ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ควรจะไปทางไหนต่อดี ที่ทำออกมามันถูกหรือเปล่า แต่ถ้าคนมีประสบการณ์ก็จะรู้ค่ะว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ ก็เลยจะไม่ค่อยเครียด ไปเครียดกับการบริหารเวลามากกว่าค่ะ

นอกจากการทำ Research มีกิจกรรมข้างนอกบ้างมั้ยคะ?

Por: เยอะมากค่ะ Seminar Meeting นี่มีตลอดค่ะ เพราะว่าที่นี่จะมีการส่งอีเมลเชิญให้เราไปอบรม แล้วก็จะมี SkillsForge จะเป็นเหมือนกับ Webpage ที่ให้เราเข้าไปอบรม แล้ว SkillsForge มันก็จะลิงก์ไปหา Supervisor ของเราด้วยว่าเราลงอบรมอะไรไปบ้าง ได้พัฒนาตัวเองบ้างมั้ย หรือว่าคุณอยู่เฉย ๆ มาอยู่ที่นี่ตั้งหลายเดือนไม่ได้เข้าอบรมอะไรเลยเหรอ (หัวเราะ) Supervisor ก็จะเห็นหมดค่ะว่าเราทำอะไรไปบ้าง ตรงนี้ระบบมันจะเชื่อมถึงกันเอง เราไม่ต้องไปนั่งคุยนั่งบอกเอง ทุกอย่างฟรีหมดเลย ถ้าจะมีอะไรที่ต้องเสียเงิน ทางมหาวิทยาลัยก็มีงบให้ค่ะ มีงบให้ไปอบรมข้างนอก ถ้าของที่มหาวิทยาลัยจัดให้มันไม่มีหัวข้อที่เราอยากเรียน เราก็สามารถไปหามาจากข้างนอกได้ ปอมีเพื่อนที่ไปอบรมที่ Edinburgh ก็เบิกได้ค่ะ ซึ่งแล้วแต่เราเลยค่ะว่าอยากไปอบรมบ่อยมากแค่ไหน ดูว่ามันจำเป็นมากแค่ไหน เพราะงานที่ทำอยู่กับงานอบรมในคณะมันก็เยอะอยู่แล้ว ยังไงมันก็ต้องเข้าตลอดค่ะ

รีวิว King’s College London

Por: สำหรับ King’s College London ห้องสมุดของที่นี่ดีมาก ดีทุก Campus ดีทุกสาขาเลย แล้วก็ Well-being ค่ะ ที่นี่ดูแลเด็กนานาชาติตลอด ดูแลเด็กดีมากค่ะ ไม่ว่าจะงานเทศกาลอะไรต่าง ๆ ช่วงปิดเทอมหรือว่ามี Break ที่เด็ก Local ที่ส่วนใหญ่จะกลับบ้านกัน ก็จะมีกิจกรรมให้เด็กนานาชาติที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านได้เข้าร่วม อย่างช่วงปีที่แล้วจะเป็นช่วงก่อน Christmas ไปจนถึงปีใหม่ ก็จะมีกิจกรรมใน King’s ตลอด มีงานให้เข้าร่วม กินฟรี เลี้ยงไก่งวงด้วยค่ะ

มี Facility อะไรที่ได้ใช้เพิ่มเติมนอกจากห้องสมุดบ้างคะ

Por: น่าจะเป็นโปรแกรมสำหรับการทำวิจัยค่ะ เพราะวิจัย Project นี้ก็ใหญ่อยู่ ทำ 3 ปี 4 ปี ทำเล็ก ๆ มันก็ไม่สมศักดิ์ศรี เราก็เลยตั้งสเกลใหญ่เลยค่ะ พอสเกลใหญ่แล้วมันก็ยาก ต้อง Review Literature เป็นหมื่น สเต็ปแรกที่ทุกคนต้องรีวิว คือรีวิวขอบเขตงานของเราว่ามันประมาณไหน เยอะน้อยมันต่างกัน ตัวงานที่ทำอยู่ก็เยอะเลยค่ะ 24,000 paper แต่มหาวิทยาลัยมีตัวโปรแกรม Software ให้ ดีมาก ๆ เพราะถ้าไม่ได้โปรแกรมนี้ก็คงไม่จบ เขาจะมี Covidence Tool คือมันเป็น Software ที่ดีมาก ซึ่งถ้าเป็นที่อื่นจะต้องจ่ายเงินเยอะเลย แต่ที่ King’s เค้าซื้อให้เราใช้ฟรีเลยค่ะ มันจะช่วยให้การทำ วิจัยของเราดีขึ้นแล้วก็มีมาตรฐาน

เจ้าหน้าที่ห้องสมุดก็ใจดีมากค่ะ มันจะมีส่วนที่เราต้องหางานใน Database ที่นี่ เขาก็จะแนะนำเลยว่าให้ไปทำนัดหมายกับ บรรณารักษ์ ซึ่งเขาจะช่วยเราหาข้อมูลอย่างมีระบบ

ที่นี่มาตรฐานการทำวิจัยเค้าสูงมาก ก่อนที่จะได้เริ่มเรียนก็จะมีคอร์สมาตรฐานนักวิจัย จริยธรรมการวิจัย ขั้นตอนต่าง ๆ  การรักษาความลับ หรือเรื่อง Confidential ให้เข้าอบรมก่อนค่ะ เพราะฉะนั้นในส่วนของการ Review ต่าง ๆ  เราก็จะมีบรรณารักษ์มาช่วยเรา เราสามารถทำนัดหมายกับเค้าได้ตลอดค่ะ

รีวิวโรงพยาบาลของ King’s College London

Por: ใช้หมดทุกอย่าง NHS ที่ King’s ดีมากค่ะ เขาว่ากันว่าอยู่ที่นี่แล้วจะหาหมอกันยากใช่มั้ย นี่เราหาหมอไป 3 รอบแล้วค่ะ คือยังไงเราก็จ่ายค่า NHS อย่างแพงไปรวดเดียว 4 ปีแล้วเนอะ ที่นี่อยู่ ๆ ก็จะ Email มาเชิญให้เราไปตรวจสุขภาพ ตอนแรกคิดว่า Scam ค่ะ เพราะเพื่อนไม่มีใครได้ตรวจสักคน แต่อันนี้เขาตามเราไปตรวจ ก็เลยได้ไปตรวจรอบแรก

NHF จะมีหน่วยดูแลนักศึกษา เป็น Student Division เยอะมากค่ะ เพราะว่าเราเป็นเด็กใหม่ อาจจะต้องการความช่วยเหลือเยอะ ที่ตึกนี้ก็จะรวมทุกอย่างไว้ให้เลยค่ะ Visa ก็ทำที่นั่น BRP ก็ไปเอาจากที่ตึกนี้เหมือนกัน และที่นี่จะ Walk-in เข้าไปไม่ค่อยได้ค่ะ ทุกอย่างต้องทำนัดหมายก่อนล่วงหน้า ถ้านัดก่อนไปแล้วเวลามันก็จะเป๊ะมากค่ะ เวลาไปหาหมอก็ไปที่ชั้น 3 เช็กสุขภาพ หลังจากนั้นที่ไปครั้งที่ 2 ก็เจอ GP รอบที่ 3 ก็ไปหา GP อีก ไปหาได้ฟรีค่ะ แต่ค่ายาจะต้องจ่าย 10 ปอนด์ ที่ King’s จะดูแลจัดระบบตรงนี้ให้เราเลย เด็ก King’s ก็จะไปหาหมอได้ไม่ยากค่ะ

กิจกรรมของมหาวิทยาลัย

Por: ทุกวันศุกร์ตอนบ่าย ที่ KCL จะมีกิจกรรมของ KCLSU เป็นเหมือนสมาคมนักเรียนของ King’s ค่ะ มีกิจกรรมสนุก ๆ อย่างคลาสแรกก็คือ การพาเดินรอบ King’s เพื่อให้นักเรียนรู้จักที่นี่ ให้รู้จักตึกเรียนก่อน ตอนเรียน Pre-sessional เขาก็จะทำให้เรารู้จัก King’s มากที่สุด จัดห้องเรียนให้กระจายอยู่ทุกตึก ไม่ให้จำเจที่เดิมเลย เราเองก็เหมือนได้ผจญภัย ขึ้นตึกนั้น ออกตึกนู้น มีหลงทางกันบ้าง แต่เจ้าหน้าที่หรือ Security Guard ทุกคนดีมากเลยค่ะ แค่เราทำหน้างง ๆ แล้วเขาก็จะเดินมาถามเลยว่า ยูจะไปไหน (หัวเราะ) เราก็เอาตัวห้องเรียนให้ดู เขาก็จะบอกให้ค่ะว่าเราต้องไปทางไหน วันแรกส่วนใหญ่ก็จะพาเดินรอบ Campus มีห้องสมุดที่ใหญ่มากอย่างกับใน Harry Potter เลย ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกิจกรรมในบ่ายวันศุกร์แรกค่ะ
ส่วนบ่ายวันศุกร์ครั้งที่สองจะพาเดินรอบเมืองค่ะ ก็พากันไปเป็นขบวนเลย ที่ชอบก็คือ Museum ถ้าคนนอกไปต้องเสียตังค์ แต่ถ้าเป็นเด็ก King’s จะเข้าฟรี ในช่วงทุกบ่ายวันศุกร์ก็จะไปลงชื่อจองในระบบ แล้วเราก็จะได้ตั๋วมาค่ะ คุ้มมาก เลี้ยงพิซซ่าตลอดเลย ตอนแรก ๆ จะเป็นแซนด์วิช พอช่วงหลัง พวกเด็ก ๆ เริ่มบ่นว่าไม่อร่อย มันน่าเบื่อ ก็จะมีการเปลี่ยนอาหารให้ (หัวเราะ)

รีวิวการใช้ชีวิตที่ London

Por: อย่างที่บอกเลยค่ะว่าเพื่อนคนจีนเยอะ ก็เลยจะพากันไปเที่ยวเยอะค่ะ Nature ของคนจีนเค้าจะไม่ฟุ่มเฟือยมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายลุยค่ะ ก็เลยจะพากันนั่งรถไปเที่ยวนอกเมืองกันบ่อย เน้นผจญภัย พาเดินเยอะมากค่ะ ตอนนั้นก็เคยไป Hampton เพื่อนก็จะบอกว่าเตรียม Picnic ไปด้วยนะ ความน่ารักของเขาก็คือ ถ้าทริปนี้เป็น 1 Day Trip แล้วช่วงพักเที่ยงถ้าไม่อยากเสียเวลาหาอะไรกินหรือไม่อยากเสียเงินเยอะ เรามาเตรียมของไปกินกัน ก็น่ารักดีค่ะ นอกจากนี้ก็มีที่ Hasting เที่ยวกับแก๊งเพื่อนคนจีน คนไต้หวันทั้งหมดเลยค่ะ

การเดินทางใน London

Por: ถ้าพูดถึงเรื่องสะดวก ก็ต้องดูเรื่องที่พักด้วยค่ะ คือตอนแรกก็คุยกับที่ Hands On อยู่เหมือนกันค่ะว่าเราจะพักกันที่ไหนดี จะเอา King’s Accommodation ดีมั้ย แต่จริง ๆ Accommodation ของเขาจะ Provide ให้เด็ก ปริญญาโท มากกว่า ส่วนเด็ก ปริญญาเอกแบบเรา ส่วนใหญ่จะหาเป็น Private ค่ะ ตอนนั้นหาผ่านเว็บ Spare House ก็คือเน้นเอาใกล้ Campus ไว้ก่อน พอดีว่าคณะพยาบาลอยู่ที่ Waterloo ข้ามสะพานไปได้ ไม่ได้ไกลมาก เวลาหาที่พักก็จะเอาตัว Campus ของเราเป็นไว้หลักก่อน แล้วก็ดูว่าในรัศมีของ Waterloo มันจะมีที่พักที่ไหนบ้าง โชคดีมาก ๆ เลยค่ะที่ได้ที่พักอยู่ที่ Waterloo นี่ ห่างเพียงแค่ระยะเดิน 7 นาที อยู่ตรงกลางเมืองเลยค่ะ ตัว Spare House มันเป็น Private ราคามันก็มีหลากหลายมากเลย บังเอิญได้ที่ที่ไม่แพงมากด้วย เรียกว่ามากับดวงเลยค่ะ ได้อยู่กลางเมือง ทำให้การเดินทางไม่ลำบากเลย หน้าบ้านอยู่ใกล้ Waterloo Station ด้วย ไปไหนมาไหนก็ไม่ลำบาก

เรียนปริญญาเอกหนักมากแล้ว ได้ทำงาน Part-Time ด้วยมั้ยคะ?

Por: ตั้งแต่เดือนตุลาคมก็ทำงานที่ร้านอาหารไทยค่ะ แต่ว่าทำแค่ 2 Shift จริง ๆ ตาม Visa มันทำได้ 3 Shift 20 ชั่วโมง แต่เราก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้น แค่จะไปหาข้าวกินด้วย ก็เลยทำแค่ 12 ชั่วโมง พองามค่ะ ถ้าถามว่างานหนักมั้ย พอดีทำงานแค่วันจันทร์กับวันอังคาร และวันจันทร์คน London ก็ไม่ค่อยออกจากบ้าน ก็คือเราเลือกวันที่เงียบค่ะ

ที่ร้านก็ถามว่า ที่มาทำงานเป้าหมายคืออะไร เราก็ตอบไปว่า มาหาข้าวกินค่ะ ที่ร้านก็บอก โอเค ๆ ก็หาข้าวให้เรากินค่ะ (หัวเราะ) ก่อนเริ่มงานเขาจะมีข้าวให้กิน 1 รอบค่ะ ก่อนกลับก็ทำข้าวกล่องไว้ให้ เราก็จะได้ข้าวกล่องกลับบ้านทุกวัน ส่วนวันที่ไม่ได้ไปทำงาน ถ้าในครัวป้า ๆ เชฟโชว์ฝีมือ อยากทำกับข้าวกินกัน เขาก็จะโทรตามเราเพราะว่าบ้านอยู่ใกล้กันค่ะ

ที่ทำงานก็อยู่หน้า Waterloo บ้านก็อยู่ถัดจาก Waterloo ที่เรียนก็อยู่ถัดจาก Waterloo คือทุกอย่างอยู่ใน Waterloo ค่ะ เดินทางแค่ 7 นาทีด้วย ก็เลยจะได้กินฟรีบ่อยมากค่ะ เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารการกิน จะอยู่อีกกี่ปีก็ไม่เดือดร้อนแล้วค่ะ ที่ทำงานก็บอกว่า เออมันวางแผนมาดี ทำกับข้าวไม่เป็นก็ไม่เดือดร้อน (ยิ้ม)

รีวิวการสมัครเรียนปริญญาเอกกับพี่ Hands On

Hands On ช่วยอะไรบ้างคะ?

Por: พี่ ๆ ช่วยเยอะมากค่ะ อย่างที่บอกเลย องค์ประกอบสำคัญก็คือ คะแนนภาษาอังกฤษกับการพัฒนาตัว Proposal Research ค่ะ เพราะว่าที่ King’s จะสัมภาษณ์ 2 รอบ ซึ่งการสัมภาษณ์ก็คือคุยเรื่อง Research เพราะฉะนั้นเราต้องให้เวลาแล้วก็ทุ่มเทให้กับตัว Research หนักมาก การที่จะเตรียมเอกสารสมัครอะไรพวกนี้คือไม่อยู่ในหัวเลย ตอนนั้นก็ถามเพื่อนว่ามี Agent ที่ไหนที่จะช่วยเราได้บ้าง เพราะไม่มีสมาธิจะเตรียมเอกสาร คิดแค่อยากจะโฟกัสกับการทำ Research อย่างเดียว ตอนนั้นเพื่อนเคยใช้บริการ Hands On มาก่อนเพื่อนก็แนะนำเราต่อ คือเขาบอกว่า ถ้าอยากเรียนต่อ UK ก็ต้อง Hands On ตอนแรกเพื่อนบอกว่าฟรีก็ไม่เชื่อค่ะ (หัวเราะ)

พอมาคุยเองก็ดูแลดีมากเลย คืออะไรที่เราไม่ได้ใส่ใจ พี่ ๆ ก็จะคอยทักมาบอกว่า ต้องเตรียมเอกสารแบบนี้นะ แล้วก็ส่งตัวอย่างมาให้ ถ้าให้เตรียมเองก็คงไม่รอด พี่ Hands On ทั้งคอยเตือน คอยบอก Timeline Schedule ให้เราไม่หลุดไปค่ะ คือถึงปริญญาเอกมันจะสามารถสมัครได้ตลอดทั้งปี แต่ Pre-sessional English Course มันเปิดแค่ปีละครั้ง ถ้าพลาดก็ต้องรอไปอีกปีนึงเลย

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

มีอะไรอยากบอกเพิ่มเติมอีกมั้ยคะ?

Por: จริง ๆ ที่ตั้งใจมาก็คืออยากจะขอบคุณ Hands On มากกว่าค่ะ เพราะว่าการเตรียมตัวของปริญญาเอกมันหนักหลายทางจริง ๆ ถ้าให้ทำทุกอย่างเองทั้งหมดมันยากมาก การที่มี Hands On มาแบ่งเบาภาระเรื่องการสมัครเรียนมันช่วยได้เยอะจริง ๆ แล้วตัวของนักเรียนเองก็จะได้โฟกัสกับ Research ด้วย เพราะว่ามันมีเอกสารสำคัญหลายอย่างที่ถ้าจัดการไม่เรียบร้อยก็ Apply เข้าระบบไม่ได้ Hands On ช่วยตรงนี้เยอะมากค่ะ คือไม่ใช่แค่มาตามว่าต้องส่งเอกสารอย่างเดียว พี่ ๆ จะมีตัวอย่างวิธีการเขียน SoP มาให้ดู เขียนเสร็จแล้วก็ยังมาช่วยอ่านแล้วก็ช่วยแก้ไขให้จนเรียบร้อย แล้วก็จัดการคุยกับ Admin กลางให้ ถ้ามันมีปัญหาอะไร พี่ ๆ ก็จะจัดการให้เสร็จก่อนที่จะมาถึงเราอีกที

ทาง Hands On ช่วย Apply ในระบบ ทางปอก็ไปนั่งคุยกับ Supervisor ให้รู้เรื่อง พอทุกอย่างเสร็จ มันก็จะพร้อมกันทั้งสองทาง

มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่วางแผนอยากมาเรียนปริญญาเอกที่นี่บ้าง

Por: จริง ๆ จะบอกไว้เลยว่า ถ้าเราเรียนปริญญาโทแล้วอยากจะต่อปริญญาเอกที่นี่ ให้เขียน Proposal ไว้เลยค่ะ สิ่งที่สำคัญเวลาเขียน Proposal ก็คือ ให้ไปส่องดู Supervisor คนไหนที่เราหมายตาไว้ เพราะว่า Supervisor แต่ละคนเค้าก็จะมี Specialty ที่เค้าถนัดไม่เหมือนกัน เราต้องไปดูก่อนว่า Supervisor ที่เราอยากจะไปเรียนด้วย เขาทำงานวิจัยเรื่องอะไร แล้วเขียน Proposal ให้มันสอดคล้องกับเขามากที่สุด โอกาสที่จะถูกเลือกขึ้นมาแล้วสัมภาษณ์ก็จะสูงขึ้นค่ะ

 

สนใจวางแผนเรียนต่อ King’s College London หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี ทุกขั้นตอน เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง