แนะนำตัวให้รู้จักหน่อยค่ะ
Boss: สวัสดีครับ ชื่อบอสครับผม ตอนนี้เรียน MBA อยู่ที่ Leeds University Business School ของ University of Leeds ครับ
ก่อนจะมาเป็นนักเรียนที่ University of Leeds
ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้
Boss: จริง ๆ ก็มีหลาย Factor อยู่ ก่อนมาเรียน ผมเคยทำงานมาแล้ว 3 อย่างภายใน 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ลง Detail แล้วกัน แต่ว่าทำงาน 3 อย่างที่ไม่เหมือนกันเลย แล้วถึงจุดที่รู้สึกว่าอยากมาลอง Explore ชีวิต หาประสบการณ์ใหม่ ๆ สำรวจงานใหม่ ๆ หรือไปเปิดมุมมองที่เราอยากจะลองทำอย่างอื่นบ้าง แล้วก็คิดว่า MBA น่าจะตอบโจทย์ และกิจกรรมของ MBA ก็เยอะมาก ถ้าเทียบกับคอร์สเรียนอื่น ๆ ที่เคยไปฟังมา
แล้วทำไมถึงเลือกเรียน MBA ที่ Leeds ต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นยังไง?
Boss: เอาตรง ๆ ตอนแรก Leeds ก็ไม่ได้เป็น First Choice ขนาดนั้น แต่ก็เป็น one of the choices ซึ่งตอนแรกก็เล็งไว้หลายที่มี Manchester, Edinburgh, Newcastle แล้วก็ Leeds เล็งไว้แค่นี้เลย และเลือกไว้แต่แรกแล้วว่าไม่เอา London ด้วยเรื่อง Cost of Living นี่แหละเป็นตัวหลักเลยนะครับ และคิดว่าชีวิตเราน่าจะไม่เหมาะ อยู่กรุงเทพฯ มาทั้งชีวิตแล้วก็ไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงที่วุ่นวาย ๆ คนเยอะ ๆ ก็เลยเลือกเมืองที่อยู่โซน ๆ นี้ ประกอบกับเรื่องดูบอล ซึ่งอันนี้อาจจะหลุดไปนิดหนึ่ง แต่คิดไว้แล้วว่าจะมาดูบอลด้วยใช้ชีวิตด้วย ก็ต้องเป็นเมืองแถว ๆ นี้ที่ถูกลงมาหน่อยและน่าอยู่ อีกอย่างนึงคือผมพยายาม Combine กับเรื่องของ Ranking ด้วย ของมหาวิทยาลัยด้วย สุดท้ายที่มาจบที่ Leeds เพราะเขาให้ทุนผมด้วย
เล่าเรื่องทุนให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ เตรียมตัวขอทุนจาก University of Leeds ยังไงบ้าง?
Boss: เอาจริง ๆ แต่ละมหาวิทยาลัย แต่ละคอร์สมันก็ไม่เหมือนกัน บางคอร์สบางมหาวิทยาลัยถ้าเราอยากจะได้ Scholarship เราต้อง Apply แต่ Business School ของที่นี่ ไม่แน่ใจว่าของ Postgraduate อื่น ๆ ด้วยหรือเปล่า มันไม่ต้อง Apply ขอทุน แต่เขาจะเลือกเองว่าเขาจะให้ใคร และเราก็เลือกได้ว่าจะ Accept หรือจะ Reject อะไรแบบนี้ ซึ่งเอาตรง ๆ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาเลือกจากอะไร เขาน่าจะเลือกจากโปรไฟล์ที่ส่ง และนัดสัมภาษณ์ออนไลน์อีกทีหนึ่ง เพราะว่า Director เขาสัมภาษณ์เองทุกคนก่อนจะเลือกเข้ามา ซึ่งตอนนั้นผมอาจจะสัมภาษณ์ดี
สนใจเรียนต่อ University of Leeds ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก
รีวิว MBA ที่ University of Leeds
Boss:เอาเฉพาะของ Leeds นะ ถือว่าเรียน intense มาก อย่างแบ่งเป็น 3 เทอม ซึ่งที่คนอื่นเขาเรียน 2 เทอมก็ Dissertation เลย แต่ที่นี่เรียน 3 เทอม เขาพยายามปั้นคนให้หางานและทำงานที่นี่ได้ด้วย ฉะนั้นเขาจะมี Guest Speaker เฉพาะของ MBA ค่อนข้างเยอะ เช่น คนใน UK ที่เป็น Management หรืออื่น ๆ เข้ามาพูดครับ และอีกมุมหนึ่งก็คือเขาจะมี Career Farm เฉพาะของ MBA เองเลย เหมือนเป็น Career Advisor ที่มาแนะนำเรื่องการหางาน แนะนำทุกอย่างเลย เช่น หางานยังไง Resume ควรเขียนยังไง ซึ่งก็จะมีทั้งเป็น Session และ 1 on 1 Session เหมือนกัน เขาก็พยายามหา พยายามจ้าง Advisor ที่ Professional มาดูแลนักเรียน MBA ตรงนี้โดยเฉพาะ ถ้าผมอยากจะนัดอะไรกับเขาก็ส่งอีเมลไปนัดได้เลย เช่น ช่วยดู Resume ให้หน่อย ช่วยปรับนู่นปรับนี่ อยากหางาน Field นี้ หรือถ้าไม่ได้อยากหาที่นี่ แต่อยากกลับไทยก็ไม่เป็นไร ก็ให้เขาช่วยดู Resume ให้ได้ ให้เขาช่วยแนะนำให้ได้ครับ และในเชิงของ Career กับเรื่องของการเจอกับพวก C-Level Management ของภาคคณะอื่นเขาจะไม่ค่อยมี จะมีแค่ MBA ครับ
เนื้อหาการเรียนของ Master of Business Administration มีอะไรบ้าง ?
Boss: เอาตรง ๆ MBA เรียนค่อนข้างกว้างและเยอะกว่าคอร์สอื่น ๆ ที่เจาะลึกกว่า อย่างปี 1 เรียน 12 ตัว ก็แบ่งเทอมละ 4 ตัว เรียน 3 เทอม และได้เรียนทุกเรื่องจริง ๆ ฉะนั้นถ้าเรามาจากสายอื่น แบบไม่รู้อะไรเลย ซึ่งผมเรียน Business มาตอน Undergraduate แล้ว ฉะนั้น Postgraduate บางทีก็อาจจะเจอเรื่องเดิมซ้ำบ้าง แต่ว่าถ้ามาจากสายอื่นรับรองว่าใหม่หมดแน่นอน แล้วก็เรียนหมดเลย
อย่างเทอมแรกก็เหมือน Fundamental ที่ให้เข้าใจ Business ก่อน เช่น Economic, Account, Finance อะไรแบบนี้เป็นเบื้องต้นที่ต้องใช้นะครับ เทอมต่อ ๆ ไปก็จะต้องใช้หลายอย่าง เช่น Marketing หรือ Supply Chain นี่ก็สำคัญ เพราะส่วนใหญ่ Business มันเป็น Chain เป็น Factory ต้องมีระบบการจัดการและการบริหารเบื้องหลังที่ดี และหลัก ๆ แล้วมันคือเรียนไปเป็น Management เรียนเพื่อไปบริหารบุคคล เพราะฉะนั้นจะมีวิชาเฉพาะเลย เช่น วิชา HR วิชา People ที่เราต้องทำงานกับคน ดีลกับบริษัทหรือองค์กรยังไง นอกจากนั้นก็จะมีเรื่อง Data เบื้องต้นเช่น Data Analysis ทำ Excel ทำการดึงข้อมูล Pivot Table อ่าน Data เข้าใจบ้างนิดหน่อย รวม ๆ ก็คือเตรียมให้เรารู้ Concept ทั้งหมดไว้ ซึ่งอาจจะไม่ได้ลึกมากถ้าเทียบกับคอร์สอื่น แต่ที่แน่ ๆ คือเราจะต้องรู้ Concept เพราะงานที่ต้องทำมันต้องเข้าใจจริง ๆ
บรรยากาศในห้องเรียน เพื่อน ๆ และอาจารย์เป็นยังไงบ้าง?
Boss: ถ้ามองในมุมผมนะ คลาสไม่ใหญ่ถ้าเทียบกับ MBA ดัง ๆ ที่อื่นที่เขาจะมีเป็น 100-200 คน ซึ่งอาจจะ Diversify เต็มที่ Connection เยอะจริง ในส่วนของปีผมที่ Leeds MBA มี 60 คน มาจากประมาณ 11-12 ประเทศก็ถือว่ากลาง ๆ แต่ว่าก็ถือว่าโอเค ส่วนใหญ่เป็นอินเดียกับจีนแล้วก็เป็นเรา ที่เหลือก็กระจายตัว
เพื่อนดี ๆ ก็มีไม่ดีก็มี ได้เปิดโลก จริง ๆ สิ่งที่ได้จากคอร์สเรียนของ MBA คือได้รู้ว่ามีคนแบบนี้บนโลกด้วย ได้ฝึก Deal กับคน คนที่แบบว่าอยู่ไทยกี่ร้อยปีก็ไม่น่าเจอ ก็ได้เจอที่นี่ ซึ่งเป็นคนประเทศอื่น ก็ได้รู้ว่าต้องฝึก Deal กับเขา ต้องไปกับเขาจริง ๆ อะไรที่เรา Suffer มาจากไทยคือเล็กน้อยไปเลยจริง ๆ ด้วยความ Humor ของไทยมันจะมีจุดหยุดบ้าง บางคนเขาอาจจะไม่ได้ดี แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนไทยมันก็อาจจะไม่ได้ Aggressive ขนาดนั้น
ส่วนในพาร์ทอาจารย์มีทั้งดีและเฉย ๆ แต่ละคนเขา Expert จริง แค่บางคนเขาอาจจะถ่ายทอดเก่ง บางคนอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดเก่งมาก ซึ่งบางคนก็พูดอังกฤษฟังยาก เพราะภาษาอังกฤษที่นี่ฟังยากอยู่แล้วแต่ก็ชินไปแล้วครับ
Assignment การบ้าน งานต่าง ๆ มีอะไรบ้าง?
Boss: ของ MBA ที่ Leeds คะแนนทั้งหมดจะเป็น Assignment หมดเลย ปริญญาโทส่วนใหญ่ก็น่าจะเหมือนกันแหละ ไม่เหมือนปริญญาตรีที่จะมีคะแนนเข้าเรียน ที่นี่เป็น Assignment ไปเลย 100% หรือบางที 2 ตัว ตัวละ 50% รวมกันเป็น 100% อะไรแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่เลยประมาณ 70%-80% จะเป็น Individual Assignment Essay จำนวน 3,000 คำ
ในเทอมแรกจะเป็นสอบบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น สอบ Account, Finance ซึ่งต้องสอบในห้องสอบเลย นั่งแยกโต๊ะ ซึ่งเป็นวิชาเดียวของ MBA ที่นี่เลยนะที่ต้องนั่งสอบแบบนี้ ส่วน Economic ก็จะเป็นการเขียน Essay สอบออนไลน์ที่บ้าน โดยให้โจทย์มา 3 ข้อ ข้อละ 1,000 คำ ให้เวลาทำ 2 วัน จะเสิร์ชหรือจะอะไรก็ได้ แต่นั่นคือแค่เทอมแรก ส่วนที่เหลือจะเป็น Assignment เขียนขั้นต่ำ 3,000 คำทุกวิชา อันนี้เป็นงานหลัก ส่วนที่เหลือจะเป็นงานกลุ่ม อย่างเทอมที่แล้วมี 1 ตัว เทอมนี้มี 2 ตัว และงานกลุ่มก็จะเป็นการเขียน แล้วก็แน่นอนว่ามีการ Present เหมือนกัน แต่ไม่ได้เอาคะแนน เพราะคะแนนจะไปอยู่พวกกับ Assignment เขียนมากกว่า และอีกอย่าง MBA ก็ได้ทำ Project ด้วย ตอนนี้ที่ทำอยู่และเป็นคะแนนของเทอมนี้ก็คือเป็น Consulting กับบริษัทจริงอะไรแบบนี้ครับ
แล้วงานกลุ่มที่ได้ ก็คือจับกลุ่มกันเองมั้ย?
Boss: มีทั้ง 2 แบบ ซึ่งก็ Suffer คนละแบบ แต่ถ้าเลือกเองก็สบายใจไป ซึ่งก็มีแค่งานเดียว ส่วนที่เหลือเขา Random แล้วสุดจริง โอ้โห! เปิดโลกมากจริง ๆ (หัวเราะ) ก็นี่แหละเป็นเรื่องราวที่ได้ไปเจอคน Peak เพราะงานกลุ่มที่ถูกจับสุ่ม แต่เอาตรง ๆ นะครับ ถึงมันจะ Suffer แต่ถ้าคุณอยากจะเรียนรู้กับคนอื่นก็ต้องทำวิธีนี้ ถึงตอนนั้นผมจะ Suffer จริง แต่ตอนที่เขียนรีวิวให้อาจารย์หรือ Feedback ให้เขาก็เขียนไปตรง ๆ ว่าคุณควรจะ Keep การจับกลุ่มแบบนี้มากกว่าที่คุณจะให้นักศึกษาไปจับกลุ่มเอง เพราะว่าจับเองเราก็จับกับคนที่เราสบายใจอย่า่งเดียว
เล่าเรื่อง Guest Speaker กับกิจกรรมนอกห้องเรียนของคอร์ส MBA ให้ฟังหน่อยค่ะ
Boss: จริง ๆ มันก็ไม่เชิงนอกห้องเรียนขนาดนั้น ถ้าไม่นับคลาสเขาก็ Fixed ไว้แล้ว ซึ่ง MBA ขยันมาก เขาจะมี Guest speaker ให้แบบ twice a week ทุกครั้งเลย เยอะมากนะ แต่ก็มี Pros & Cons เหมือนกัน หลัง ๆ คน Energy Drain แล้ว มันเหนื่อย เพราะลำพังแค่เรียน แล้วก็ต้องเข้าร่วมอีก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าหลัง ๆ คนก็หาย ๆ ไปบ้าง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และเป็นสิ่งที่คอร์สต้องไปปรับ มันดี แต่มันเหนื่อย บางคนเขาก็ไม่ไหวแล้ว ช่วงมาเรียน 1-2 เดือนแรกคนมันไฟแรง แต่ช่วงนี้จะครบปีแล้ว บางคนก็ไม่อยู่ ไม่มา มีโดดกันไปบ้างครับ (ยิ้ม)
โปรไฟล์ของ Speaker C-Level มาจากบริษัทแนวไหนบ้าง?
Boss: ก็มาหมดเลย มีทุกแบบ ทุกแนว จริง ๆ ทั้ง Tech, Finance, Charity ก็เยอะ อย่างผมชอบของ Charity เพราะว่าของ UK จะเห็นวบ้านที่เป็นปราสาท ยกตัวอย่างเช่น Harewood House ที่เป็นเหมือนปราสาทพระราชวังเก่า ๆ พอตอนนี้มาปรับปรุง แล้วทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็มีคนหนึ่งซึ่งตอนนี้เป็น CEO ของ Harewood มาดูมาช่วย ซึ่งคนนี้เขาอยากจะอนุรักษ์ไว้ อยากให้คนมาเที่ยว มันก็ Nice ดีที่เขามาช่วยเต็มที่ โดยไม่ได้รับเงินด้วยนะถ้าจำไม่ผิด
ถ้าที่อินสุดก็มี CEO ฟุตบอลมาคนหนึ่ง เขาเป็น CEO ของ Nottingham Forest แต่ก่อนหน้านี้เขาทำมาหลายอย่างมาก เช่น ทำ Communication หรือมีประวัติของเขาก็คือเคยทำ Manchester City ซึ่งเขาคนนี้นี่แหละที่บินมาไทยในช่วงปี 2007-2008 เพื่อมาดูแลภาพลักษณ์ขององค์กรและสโมสรอะไรแบบนี้ครับ ตอนนั้นเราก็จำภาพเขาได้ว่า คนนี้!! ก็อินเลย เพราะเราอยู่กับบอลมาทั้งชีวิต เขาเก่งแล้วก็แชร์แบบไม่กั๊กเลย แต่อันนี้เขามาในนามของ Business School ผมมีรูปคู่ด้วยเพราะว่าอินกับเขาจัด (ยิ้ม)
สนใจเรียนต่อ University of Leeds ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก
รีวิว University of Leeds
Facility ของมหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง?
Boss: โดยทั่วไปก็โอเคนะ ครบหมด ทั้งตึกเรียน ห้องสมุด ฟิตเนส โดยทั่วไปก็สวยหมด ทั้งในเมืองและในมหาวิทยาลัย มันไม่ได้เป็นรั้วมหาวิทยาลัยขนาดนั้น ถ้าจากที่เห็นจะเป็นแบบเปิด และ Business School ก็แยกตัวออกมาอยู่ตรงนี้ ตึกเหมือนบ้านคน (หัวเราะ) แต่ก็ดีครับ และอีกอย่างที่ดีของ Leeds ก็คือใกล้ City Centre เดินถึงกันได้ ไม่ได้เหมือนบางที่ที่อยู่แยกกันหมด หรือบางที่อยู่ไกลต้องนั่งรถเข้าไป แต่ที่นี่เดินได้ทุกวัน เข้า-ออกได้ อีกอย่างที่ดีคือที่นี่ใส่ใจนักเรียนมาก มีทั้ง Support Student, Healthcare และ Mental care ก็คือมีตลอด เขาจะติดไว้ทุกทีและส่งอีเมลมา เผื่อคุณมีปัญหาอะไร เขาจะ Support ตรงนี้เต็มที่เหมือนกัน และที่ University of Leeds ก็มีฮอลล์กีฬา 2 ที่ มี The Edge ที่เป็นอันใหญ่ และมี Gryphon Sport Center ที่เป็นอันเล็ก ซึ่งก็ถือว่าโอเค
คลับหรือสโมสรมีเยอะไหม น่าสนใจหรือเปล่า?
Boss: ต้องเล่าอย่างนี้ก่อนว่าคลับมีเยอะมากจริง ๆ มีทุกอย่างมีทุกคลับ คลับกีฬา คลับภาษา คลับ Activity มีหมดเลย ถ้าคุณมาที่นี่แล้วเหงา หรือเป็น Introvert แล้วกลัวเหงา คุณเข้าคลับแล้วคุณก็จะไม่เหงาแน่นอน และ Leeds กิจกรรมเยอะมากจริง ๆ แต่ผมไม่ได้เข้า เพราะผมทำมาหมดแล้วตอนปริญญาตรี ผมรู้สึกว่าปริญญาโทขอชิลล์ ๆ ไปเที่ยวดีกว่า อยู่กับเพื่อนคนไทยแล้วไปเที่ยว เลยไม่ได้เข้าคลับอะไรเลย แต่ว่าที่นี่มีเยอะมากครับ อย่าง “Thai Society” ก็มี
รีวิวเมือง Leeds
ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง Leeds เป็นยังไง?
Boss: เอาตามตรงก็คือเลือกถูกแล้วที่มา Leeds เพราะว่าด้วยไซซ์เมืองมันกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ในเมืองมีครบ มี Supermarket มีผับบาร์ มีสวนสาธารณะ ที่ Shopping ก็มีหมด จะดูหนังหรือโยนโบว์ลิง ที่นี่ก็มีกิจกรรมให้ทำมีครบ และที่ดีคือเราสามารถเดินได้รอบเมืองโดยไม่ต้องนั่งรถบัสหรืออะไรเลย คนก็ไม่ได้เยอะเกิน เวลาเดินกลางคืนไม่น่ากลัวเท่าเมืองอื่น ๆ ผมค่อนข้างมั่นใจว่า Leeds เดินได้เกือบหมดเลย เพราะว่าดูบอลเลิกมาดึก ๆ ตี 2-3 ก็เดินมาหมดแล้ว คิดว่าดี Cost of Living ก็ดี ไม่แพง ถือว่าถูกแล้วถ้าเทียบกับเมืองอื่น เดินทางไปไหนก็ง่ายด้วย คือ Leeds เป็นตรงกลางเลย ไป London ก็ 2 ชั่วโมง ขึ้น Edinburgh ก็ 2-3 ชั่วโมง แล้วก็ไปได้หมดทุกเมือง ไป Liverpool, Manchester, Newcastle, York คืออยู่ใกล้ York เลย เป็นตรงกลางเลย ไป ๆ มา ๆ ได้หมดครับ และถ้าเทียบกับเมืองอื่นแล้ว Leeds ไม่สกปรกเลยครับ
ได้ไปเที่ยวอะไรบ้าง ได้ไป Day Trip หรือเปล่า?
Boss: หลัก ๆ ก็เที่ยว (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ก็จะเป็นดูบอลบวก Day Trip ในช่วงแรก ๆ แต่หลัง ๆ จะเป็นดูบอลอย่างเดียว ส่วน Day Trip ก็เริ่มขี้เกียจแล้ว เพราะผมไปซ้ำ ๆ มาหมดแล้วทั้ง Liverpool, Manchester, York, Newcastle, Edinburgh, Birmingham แล้วก็ลง London เอาตามตรงผมก็ว่าแต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ของมัน แต่ in overall ผมว่ามันก็คือ UK ซึ่งผมว่า UK ก็มีภาพของมันว่าไปแต่ละเมืองก็จะ Feel ประมาณนี้อะไรแบบนี้ แต่ถ้าจะดูบอลก็มาเถอะ อยากให้มาดูสักครั้ง
ฝากถึงแฟนบอลจากพี่บอส: อันนี้ Insight สุด ๆ เลย คือด้วยความที่ตั๋วบอล Demand สูงอยู่แล้ว คนทั่วโลกมาดูตลอด ฉะนั้นตั๋วที่เรารู้ส่วนใหญ่ก็เป็น Second Hand นั่นแหละ แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่นี่ทั้งปี เราก็อาจจะมี Chance ในการหาตั๋วที่ถูกหน่อยได้ เพราะเราอยู่ที่นี่ตลอดเราไปหาตอนใกล้ ๆ ซึ่งตั๋วอาจจะเหลือและลดราคาลงมา ถ้าอยากได้ตั๋วมือแรกก็ต้องทำ Performance ต้องสมัคร Account ต้องสมัคร Member ต้อง Keep Performance ให้ดีและเราก็จะมีโอกาสซื้อตั๋วครับ |
การเตรียมตัวเรียนต่ออังกฤษ
เริ่มเตรียมตัวเรียนต่อยังไงบ้างคะ?
Boss: ช่วงเตรียมตัวตอนแรกเลยคือ Research เรื่องคอร์สที่จะมาเรียนก่อนว่าเราอยากเรียนคอร์สอะไร แนะนำว่าก็ดูรายวิชาเลยก็ได้ เพราะส่วนใหญ่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยอังกฤษเขาก็บอกหมดว่าถ้าคุณอยากเรียนอะไรก็จะไล่คอร์สมาให้เลย สมมติ 1 ปีเรียน 10 ตัวก็จะบอกเลยว่า 10 ตัวนั้นมีวิชาอะไรบ้าง มีงานอะไร เป็นแบบไหนที่ต้องส่งบ้าง ก็ไล่ดูตรงนี้ก่อน
เสร็จแล้วก็สอบ IELTS เตรียมอ่าน แล้วสอบ IELTS ก็โชคดี สอบรอบเดียวผ่าน แล้วตอนนั้นจะยื่น Manchester กับ Edinburgh ด้วย เลยสอบ GMAT (Graduate Management Admission Test) ด้วยครับ แต่สุดท้ายพอมา Leeds ก็ไม่ได้ใช้ ซึ่งข้อดีของ Leeds ก็คือใช้แค่ IELTS ครับ ไม่ต้องใช้ GMAT ไม่ต้องวุ่นวาย เพราะ GMAT ยากและแพงอยู่ ที่เหลือก็ไม่มีอะไร เพราะมายื่นกับ Hands On
บริการจากพี่ ๆ Hands On
Boss: จริง ๆ ก็รู้จักเอเจนซีหลายที่ แต่สำหรับ Hands On คือเคยไปงานเรียนต่อแน่ ๆ ครับ แล้วก็มีเพื่อนแนะนำ เพื่อนที่เรียนปีที่แล้วที่เรียน Manchester ได้เขียน Blog ลง Hands On ผมก็ทักไปแซวเขาว่า อ้าว! มีเขียน Blog เหมือนกันนี่ รุ่นน้องผมเองที่เรียน Marketing ที่ Manchester ครับ แล้วที่เลือก Hands On เพราะว่าตอนนั้นจริง ๆ ก็มีคุยหลายที่ แต่สุดท้ายเราคุยกับพี่ที่นี่แล้วสบายใจที่สุด ซึ่งบางที่เขา Hard Sell ไปหน่อย แต่พอมาเจอ Hands On ก็คุยกันแบบพอดี ๆ สบาย ๆ โอเคเขาตอบมาเราตอบไป ซึ่งเขาตอบตลอดแต่ถ้าเดดไลน์ไม่ได้เร่งมากเขาก็ไม่ได้อะไรมากมาย คุยดี สบาย เขาก็ช่วยมาเต็มที่ เลยโอเคด้วยครับ
คือพี่ Hands On ช่วยเลือกคอร์ส ช่วยเลือกมหาวิทยาลัย ช่วยส่งให้ ช่วยปรับ Writing ตัว SoP (Statement of Purpose) ช่วยทำให้หมดเลย ช่วยหาหอด้วย ช่วยหมดทุกอย่างครับ ตั้งแต่แรกจนจบเลย แล้วยังฟรีด้วย เวลาเห็นโปรโมทก็จะเห็นว่าฟรีก่อนเลย
มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่สนใจอยากเรียนต่อบ้าง?
Boss: สำหรับคนที่อยากจะมาเรียนที่อังกฤษจริง ๆ อยากฝากว่าอย่าเลือก Factor การเรียนที่เรื่องคณะเรื่องเดียว เพราะอย่าลืมว่าเรามาใช้ชีวิตถึงอังกฤษ ถึง Postgraduate มันจะปีเดียว แต่อย่าลืมว่าคุณมาเรียนทั้งปี วันหนึ่งเรียน 4-5 ชั่วโมงแล้วก็จบ แต่ช่วงเวลาที่เหลือคุณต้องใช้ชีวิต ต้องทำอาหาร ต้องนอน ต้องมีชีวิตของตัวเองด้วยนะ ฉะนั้นก็อยากให้ไปศึกษาในมุมนี้ด้วยเยอะ ๆ เพราะว่ามันเป็น Factor สำคัญเลยที่ใครหลาย ๆ คนชอบลืม อยากให้ทุกคนใส่ใจเรื่องนี้ ถ้าไม่มั่นใจก็ถามพี่ ๆ Hands On ก็ได้ครับ