Hands On Education Consultants

แนะนำสายอาชีพ Psychotherapist ใน UK! แชร์ประสบการณ์เรียนต่อโดย “พี่แอม” รุ่นพี่นักเรียนไทย

แนะนำตัวเองให้รู้จักหน่อยค่ะ จบหลักสูตรอะไรมาบ้าง ตอนนี้ทำอะไรอยู่คะ? 

Am: สวัสดีค่ะ ชื่อ แอม นะคะ ตอนนี้ทำงานเป็น Psychotherapist อยู่ที่โรงพยาบาลในอังกฤษค่ะ ปริญญาโทใบแรกคือ MSc Psychology of Education ที่ University of Bristol ค่ะ เป็น Conversion Course เพราะก่อนหน้านี้แอมเรียนปริญญาตรีที่ศิลปากร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทาง Psychology เลย แต่พอเรียนจบมาแล้วทำงานไปนิดนึง ก็รู้สึกว่าอยากจะไปทางด้านนี้ให้สุดจริง ๆ ก็เลยเลือกที่จะไปเรียนต่อในอังกฤษที่มี Conversion Course* ค่ะ 

หลังจบ Master ตัวแรก ก็ได้ไปทำงานอยู่แป๊บนึง ก็รู้สึกว่าอยากจะไปเป็น Psychotherapist ไม่ได้อยากจะเป็น Psychologist ค่ะ เลยเลือกไปเรียนต่อ MA Play Therapy ที่ University of Roehampton จะเป็นการบำบัดแบบ Creative อันนี้มันก็จะลงลึกไปอีกว่าการบำบัดแบบ Psychotherapy มันมีหลายศาสตร์มาก ๆ แอมจะสนใจด้านที่มันเป็นเชิง Creative มากกว่าที่จะเป็น Talking therapy ค่ะ แล้วก็สนใจเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว ก็เลยเลือกที่จะไปเรียนเป็น Play Therapy ก่อนเพื่อที่จะได้ Qualification ใช้เวลาเรียน 2 ปีค่ะ คอร์สเค้าจะมีความ เข้มข้นในเรื่องของ Practice มาก ๆ เพราะว่าเค้าอิงกับ Association ที่ให้ License ของเรา ตอนเรียนเค้าก็จะให้ฝึกงานตั้งแต่ปีแรกเลย ได้ไปทำงานจริง มี Supervisor เพื่อเตรียมตัวให้เราได้ออกไปทำงาน พอเรียนจบ 2 ปีแล้วก็สามารถทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในอังกฤษได้ค่ะ 

*Conversion Course คือหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดว่าผู้สมัครจะต้องจบสาขาอะไรมา เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเปลี่ยนสายเรียน  น้อง ๆ คนไหนที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Conversion Course หรือข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สเรียนสาขาต่าง ๆ สามารถปรึกษาพี่ ๆ Hands On ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อได้ฟรี  

 

พี่แอมช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่าง Psychology กับ Psychotherapy ให้ฟังหน่อยค่ะ

Am: Psychology จะเป็นสิ่งที่อยู่บนอะไรก็ตามที่มันวัดผลได้ เหมือนเค้าจะทำให้ Psychology ที่มันเป็นเรื่องของจิตใจและพฤติกรรมที่มันดูเหมือนจะจับต้องไม่ได้ให้มันจับต้องได้ เพราะฉะนั้นเค้าก็ใช้วิทยาศาสตร์เข้ามาจับใน Psychology ค่อนข้างมากในยุคใหม่ งานวิจัยส่วนใหญ่ก็จะทำงานอยู่บน Quantitative (วิจัยเชิงปริมาณ) ไม่ใช่การสัมภาษณ์เพราะงั้นเค้าก็จะให้เก็บข้อมูล ทำแบบสอบถาม แล้วก็ลงข้อมูลแล้วถึงจะออกมา ซึ่งมันก็มีประโยชน์ในมุมนึงค่ะ  

ส่วน Psychotherapy มันจะเป็นศาสตร์ที่ทำงานกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เราไม่ได้ทำงานอยู่บนทฤษฎี ตัวเลข หรืองานวิจัย แต่เราต้องมีทฤษฎีเหล่านั้นเป็นในหัว แค่นั้นเอง เวลาเราทำงานเราดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วดูลึกลงไปกว่านั้นว่าสิ่งที่มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเค้า สิ่งที่อยู่ใน Pattern ชีวิตเค้า มันเหมือนทำงานกับการจับต้นชนปลาย เราจะไม่มีการตัดสิน ไม่มีการบอกว่าเค้าอยู่ตรงไหน เป็นยังไง มันแค่อยู่กับเค้า แล้วนั่นคือสิ่งที่ Unique ของเค้า เป็นตัวของเค้าเองค่ะ งงมั้ย (หัวเราะ) มันเป็นศาสตร์ที่ลึกมากด้วย  

 

Counselling เป็นคนละอย่างกับ Therapy แบบ CBT หรือไม่คะ? 

Am: คนละอย่างค่ะ แต่แอมอาจจะไม่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้เพราะแอมไม่ได้อยู่ทั้ง 2 ศาสตร์เลย แต่ทั้ง 2 ศาสตร์นี่ Counselling ถ้าเทียบกับที่นี่ มันคือ License Counselling Psychologist มันคือใบอนุญาตไว้แสดงว่าเค้าสามารถทำงานในโรงพยาบาลหรือให้คำปรึกษาได้ เค้าสามารถใช้ศาสตร์ของ CBT ในการเป็น Approach  นึงในการทำงานได้ เพราะงั้น Counselling กับ CBT จะเป็นคนละเรื่องกัน CBT เป็นหนึ่ง Approach ที่คนที่เป็น Counselling Psychologist สามารถใช้ได้ ส่วนใหญ่ CBT มันจะเป็นเหมือนใบ Certificate เรียนแบบ 3 เดือน 3 วัน อะไรแบบนี้เพื่อที่จะได้รู้จักมัน แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนเป็น Master อันนี้ตามความเข้าใจของแอมนะคะ 

*สนใจเรียนต่อ Psychology ที่สหราชอาณาจักร มีพื้นฐานหรือย้ายสาย ปรึกษาพี่ Hands On ได้ฟรี

 

รีวิวเนื้อหาปริญญาใบแรกที่ University of Bristol 

การเตรียมตัวสมัครที่ University of Bristol นานไหม?

Am: ก็ไม่นานนะคะ ตอนนั้นเรามาเรียนพร้อมกับเพื่อน ๆ ด้วย ช่วงวัยที่เรียนจบ ทำงานแป๊บนึง เพื่อน ๆ วัยเดียวกันก็จะมาเรียนที่อังกฤษเหมือนกัน ก็เลยสมัครไปพร้อมเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนก็แนะนำ Hands On มาเพราะเคยใช้มาก่อน ตอนสมัครก็ไม่นาน คิดว่าไม่ถึงปี อย่างแรกที่ต้องทำเลยคือ สอบ IELTS เพราะว่ามันจำเป็นต้องยื่น แล้วก็มี ขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาค่ะ ระหว่างสอบ IELTS ก็ขอเอกสารที่จำเป็นอย่างพวก SoP เพื่อส่งให้พี่ Hands On ตรวจ คือช่วงนี้มันก็จะมีการ Consult อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งพี่ ๆ Hands On เค้าก็จะส่งรายชื่อหลักสูตร Conversion Course ทั้งหมดในอังกฤษ เราก็มาเลือกดู มาคุยกับเค้าว่าอันไหนดียังไง คือมันไม่ใช่แค่ตัวคอร์ส แต่ว่ามันรวมถึงความเป็นอยู่ของเมืองนั้น ๆ ด้วย ก็เลยเลือกเป็น University of Bristol เพราะ Ranking ของมหาวิทยาลัยดี แถมมันยังเป็นเมือง Education อยู่แล้ว เหมือนในสมัยนั้นมันได้ธงม่วงที่การันตีว่าเมืองนี้ปลอดภัย จำได้ว่ามีอันนี้แล้วก็รู้สึก Happy แล้วค่ะ คืออย่างน้อยมันก็ปลอดภัยแน่นอน  

 

เนื้อหา MSc Psychology of Education มีอะไรบ้าง ยากไหม?  

Am: จำได้ว่ายากมากเลย (หัวเราะ) คือเราก็ไม่ได้เป็นเด็กสายวิทย์ ไม่ได้เรียนสถิติ ไม่ได้เรียน Biology วิชาเกี่ยวกับทางชีววิทยา หรือก็คือศาสตร์เกี่ยวกับความรู้ทางด้านอวัยวะมาก่อน วิชาส่วนนั้นคือจำได้เลยว่าต้องนั่งล็อกตัวเองในห้องแล้วอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Psychology เป็น Foundation เยอะมาก ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Anatomy ในสมอง ทั้งเส้นประสาท เซลล์ประสาท รวมถึง Neurotransmitter อะไรพวกนั้น เยอะมากเลยค่ะ คือด้วยความที่มันเป็น Conversion ก็แปลว่าเราต้องเปลี่ยนทุกอย่าง จริง ๆ มันก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคนเนอะ วิชาสถิติคือทรมานมาก ๆ เลย แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ จริง ๆ ก็จะมีความยากตรงนี้เลย แต่ก็มีความสนุกค่ะ 

 

ยกตัวอย่างสาขาของคอร์สนี้ได้มั้ยคะ มันสามารถแตกออกไปทางไหนได้บ้าง?

Am: ตัว Psychology มันเป็นจุดเริ่มต้นเนอะ เพราะงั้นมันก็เลยไปได้ทุกทางเลยค่ะ ยกเว้น Clinical กับ Counselling เพราะมันต้องเรียนของมันเองเลย คือ Clinical ที่นี่มันจะเรียนต่างจากที่ไทยนิดนึง คือถ้าอยากจะเป็น Clinical Psychologist ต้องเรียนจนถึงปริญญาเอกเลย แล้วก็ตัว Therapy ที่แอมเรียนเนี่ย ก็ต่อไปได้อีกในเชิง Therapy อย่างตอนนี้แอมกำลังจะเรียน Systemic family therapy ก็คือเป็น Therapy ครอบครัวค่ะ บำบัดทั้งระบบเลย ทั้งคู่รัก ทั้งครอบครัว มันก็แล้วแต่เราเลยค่ะ อย่างถ้าเรามี Qualification แรกแล้วในการบำบัด เราก็สามารถลงลึกไปได้เรื่อย ๆ เลย อยากจะไปไหนก็แล้วแต่การทำงานและความสนใจของเรา 

 

บรรยากาศในห้องเรียนเป็นยังไง คนเรียนเยอะมั้ย อาจารย์ดุหรือเปล่า? 

Am: ไม่ดุเลยค่ะ (หัวเราะ) คนเรียนเยอะ คือมันมีทั้งกลุ่มเล็กที่ต้องมีการ Presentation มีการพูดคุย ทำงานกลุ่ม กับกลุ่มที่มันใหญ่ซึ่งก็จะรวมทุกอย่างเลย แล้วด้วยความที่มันเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ด้วย คนเรียนมันเยอะ หลากหลายเชื้อชาติ แต่แทบไม่มีคนไทยเลย (หัวเราะ) ก็จะมีห้องเรียนทั้ง 2 แบบค่ะ อาจารย์ไม่ดุเลย แล้วเค้าก็จะมี Tutor ให้สำหรับนักเรียนแต่ละคน เหมือนครูประจำ 2 คนค่ะ คนแรกจะเป็นที่ปรึกษาเรื่องความเป็นอยู่ การเรียน เรื่องทุกอย่างของเรา ส่วนคนที่ 2 ก็จะให้คำปรึกษาเรื่อง Dissertation ทั้ง 2 คนจะทำหน้าที่ไม่เหมือนกันค่ะ เค้าก็จะให้คำปรึกษากับเราตั้งแต่วันที่เข้าไปเรียนเลย มีการนัดให้เข้าไปคุยกับเค้า เล่าให้เค้าฟังว่าเราเป็นใครมาจากไหนอะไรยังไง ต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง เค้าก็ค่อนข้างเอ็นดูเด็กอินเตอร์ด้วย  

งานหรือการบ้านในคอร์สนี้มีอะไรบ้าง? 

Am: เท่าที่จำได้คร่าว ๆ นะคะ มีเป็นงานกลุ่มที่ต้องพรีเซนต์ บรรยากาศก็คือต้องนัดเพื่อน ๆ มานั่งรวมกันแล้วก็คุยว่าเราจะใส่อะไรเข้าไปใน Slide มันจะมีหัวข้อที่เราต้องเลือกในการทำ เราก็ต้องหาข้อมูลค่ะ แล้วก็มีทั้งการส่งงานแบบที่เป็น Paper แล้วก็การส่งงานแบบพรีเซนต์ค่ะ ความสนุกก็คือตอนกลางคืนก็ได้มานั่งกินข้าวกินขนมด้วยกัน ด้วยความที่ทุกคนอยู่หอเพราะเป็นเด็กอินเตอร์เนอะ มันก็จะมีบรรยากาศของการได้นั่งอยู่ใน Common room ได้กิน ได้นั่งทำงานด้วยกัน  

 

ชอบหรือไม่ชอบอะไรในคอร์สปริญญาโทใบแรกของเรา? 

Am: ถ้าถามว่าไม่ชอบอะไรที่สุด ไม่ชอบสถิติค่ะ (หัวเราะ) จำได้เลยว่ามันยากมาก มีแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเพราะมันต้องผ่านไปให้ได้ แต่พอผ่านไปได้แล้วก็ไม่เจอมันอีกเลยนะ ส่วนเรื่องที่ชอบคือเนื้อหาเรื่อง เกี่ยวกับสมองค่ะ ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ยาก แต่รู้สึกว่าเราถูกดึงดูด จำช่วงนั้นได้เลยว่าวาด Anatomy สมองออกมาแล้วก็แปะไว้เต็มไปหมด รู้สึกว่ามันเหมือนกับการได้จับต้นชนปลายแล้วแอมก็คิดว่ามันเป็นพื้นฐานในการทำงานทุกวันนี้ของแอมเลยค่ะ มันทำให้ Psychotherapy ที่เป็นอาชีพของเราแข็งแรงขึ้นเพราะเหมือนเราเรียนรู้พื้นฐานมาก่อน ทุกอย่างที่เราพูดออกมา พฤติกรรม Assessment หรือการทำงานของเรา ทุกอย่างมัน Base จากสมองของเรา ยิ่งเราเข้าใจมันมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งสามารถ Connect the dot เวลาที่เราทำงานกับคนไข้ได้เฉียบคมมากเท่านั้น แอมคิดว่าคอร์สที่นี่เค้าทำได้ดีในเรื่องนี้ ทั้งตำราการเรียน การสอน งานวิจัย หรือพวกสื่อทั้งหลายของเค้า แอมชอบมากเลย แล้วก็พวกห้องสมุด ห้องเกี่ยวกับการเข้าถึงความรู้ของเค้ามันดีมาก เป็นสิ่งที่ชอบมาก ๆ ของที่นี่เลยค่ะ 

 

บรรยากาศใน University of Bristol เป็นยังไงเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ 

Am: คือต้องบอกก่อนว่า Bristol มันเป็นเมืองที่ไม่ได้ใหญ่ คือใหญ่มั้ยก็ไม่รู้นะคะ แต่แอมอยู่ตรงที่มันเป็น Center คือสำหรับเรา มันไม่ได้ใหญ่ Campus ทุกอย่างมันกระจายไปทั่วเมือง เค้าก็เลยจะเรียกว่าเป็นเมือง Education ทุกที่จะแยกเป็นตึกของแต่ละสาขา เลยมีความพิเศษบางอย่างที่มันกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งเมือง เหมือนเราเดินไปไหนก็เจอมหาวิทยาลัยเราอีกแล้ว (หัวเราะ) แล้วมันก็ใกล้ สามารถเดินถึงกันได้หมดเลย คือแอมอยู่หอ มันก็ใกล้ทั้ง Center แล้วก็ใกล้มหาวิทยาลัย ห้องสมุด ทุกอย่างเลยค่ะ เป็นพื้นที่ที่เดินได้สะดวก และมันทำให้การ Connect กับคนไม่ใช่เรื่องยาก  

 

ค่าเทอมประมาณเท่าไหร่คะ แล้วค่าครองชีพสูงไหม? 

Am: ค่าครองชีพที่ Bristol จะถูกกว่าที่ London เยอะมาก ๆ เลย อย่างน้อยก็ไม่มีค่ารถค่ะ แล้วก็ค่ากินอะไรแบบนี้ก็ถือว่าราคาถูกกว่า ถ้าถามว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไรคิดว่าประมาณ £400-£500 ต่อเดือน แต่แอมว่ามันถูกกว่านั้นได้อีก อันนี้ไม่รวมค่าหอนะ เฉพาะค่ากิน แต่ถ้าอยู่ London ก็จะมากกว่านั้นหน่อยเพราะมันมีค่ารถ ค่าครองชีพที่นั่นมันก็แพงอยู่แล้วด้วย 

 

ค่าเรียนหลักสูตร Conversion Course* สาขา Psychology ที่มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร ปีการศึกษา 2025 สำหรับนักศึกษานานาชาติ จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 – 1.5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่น้อง ๆ เลือกเรียน   

*สนใจเรียนต่อ Psychology ที่สหราชอาณาจักร มีพื้นฐานหรือย้ายสาย ปรึกษาพี่ Hands On ได้ฟรี

 

รีวิวปริญญาโทใบที่สอง ที่ University of Roehampton

ทำไมถึงเลือกเรียน Play Therapy?

Am: แอมชอบอยู่กับเด็ก ชอบทำงานกับเด็กมาตลอดอยู่แล้ว แล้วทีนี้เราก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า เราอยากจะทำงานอะไรเกี่ยวกับเด็กดี ตอนแรกก็ลองไปเป็นครูค่ะ แต่ก็รู้สึกว่าเราไม่ได้ชอบสั่ง เราไม่ได้ชอบที่จะปั้นให้เด็กเป็นไปตามที่เราต้องการ เหมือนพอเราทำงานกับเด็กหลาย ๆ คน เราก็รู้สึกว่าเด็กแต่ละคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เรามาคิดว่า แล้วอาชีพอะไรล่ะที่เราไม่ต้องไปบังคับปั้นเค้า เราสามารถปล่อยให้เค้าเป็นตัวของเค้าที่ดีที่สุดได้ เราก็หาจนมาเจอ Play Therapy มันก็คือการบำบัดค่ะ มันก็ตรงกับโจทย์ของเราในตอนนั้น ซึ่ง Play Therapy ก็ทำงานตามความเชื่อแบบนั้น  

 

เนื้อหา MA Play Therapy เรียนอะไรบ้าง เรียนเรื่องของเล่นเด็กอย่างเดียวเลยมั้ย? 

Am: ไม่ค่ะ (หัวเราะ) ช่วง Train ใน 1 อาทิตย์ ต้องเข้ามหาวิทยาลัย 2 วันเต็ม สิ่งที่เค้าจะทำก็คือเหมือนทำกับ Process ของเรา คือมันก็มีวิชาที่ต้องนั่งเรียนทำความเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่จะเริ่มคลาสมา อาจารย์ก็จะให้อยู่กับตัวเอง แล้วจากนั้นระบายมันออกมาผ่านของเล่นค่ะ วันต่อมาต้องไปสังเกตเด็ก วันถัดไปก็เข้าไปบำบัดที่โรงพยาบาลหรือโรงเรียนอะไรแบบนี้ค่ะ อีกวันก็ต้องไปบำบัดตัวเอง เป็นคอร์สที่ค่อนข้างจะ Demanding มันจะกินเวลาชีวิตเรามาก ก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอด 2 ปีค่ะ  

ชอบอะไรที่สุดในการเรียน Play Therapy? 

Am: มันไม่ได้มีวิชาที่โดดขึ้นมานะ เราชอบ Logic กับ Experience ที่เราได้ มันเป็น Experiential process มันไม่ใช่คอร์สที่เรามานั่งเรียนแล้วเอาความรู้มาจำแล้วเราจะเปลี่ยน แต่มันเป็นวิชาที่เราต้องโยงตัวเองเข้าไป แล้วยอมที่จะถูกเปลี่ยน มันคือการที่เราต้องออกจากทุก Comfort zone ของเราแล้วโยนตัวเองเข้าไปในนั้น แล้วยอมให้ Process มันเปลี่ยนเรา แค่เชื่อมั่นแล้วเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง 

 

ได้ยินมาว่าการสัมภาษณ์เพื่อเข้าเรียนคอร์สนี้ยาก เตรียมตัวยังไงบ้างคะ 

Am: คอร์สนี้ต้องเตรียมตัวเยอะ คือมันไม่ใช่คอร์สที่มีการปูพื้นฐานแล้ว แต่เป็นคอร์สที่ต้อง Practice เลย นอกจากจะส่งเอกสารทั่วไปเหมือนกับหลักสูตรอื่น ๆ สมัยที่แอมสัมภาษณ์ เค้าก็จะส่ง Paper มาให้ ถ้าเราผ่านเกณฑ์แรก เค้าก็จะส่งอีก Paper นึงมาให้ เป็น Article อันนึงแล้วให้เราอ่าน จากนั้นก็เข้าไป Discuss กับเค้า ซึ่งถ้าเกิดเราอยู่ที่นี่ มันจะต้องนั่งพูดคุยเป็นกลุ่ม คนที่เป็น Candidate จะต้องเข้าไปพูดคุยกันแล้วเค้าก็จะให้คะแนนค่ะ แต่ตอนนั้นแอมอยู่ที่ไทย ก็เลยได้ Discuss online กับคนที่เป็น Lecturer ที่เป็นอาจารย์สอนค่ะ เค้าก็จะถามอีกเยอะเลย จำได้ว่าใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ยาวมาก ๆ เลยค่ะ จะถามเกี่ยวกับวิธีการคิดของเรา จะเป็นการสัมภาษณ์ที่ค่อนข้างลึกค่ะ  

 

แล้วตอนนั้นพี่ Hands On ช่วยอะไรเราบ้างคะ? 

Am: ตอนนั้นแอมค่อนข้างชัดเจนในตัวเองประมาณหนึ่งแล้ว พี่ ๆ ก็ส่ง Play Therapy มาให้อันนึง แล้วก็จะมี Child and Adolescent Psychotherapy ด้วยอีกอัน แต่ตอนนั้นสาขานั้นมันไม่มี Full Time มีแต่ Part time  เพราะฉะนั้นแอมก็เลยต้องหาคอร์สแบบ full time แล้วก็ตรงกับความต้องการของเรา สุดท้ายก็ออกมาเป็น Play Therapy ซึ่งมีแค่ 3 ที่ในอังกฤษ พี่ Hands On เค้าก็ช่วยหาให้ค่ะ มีที่ London, Wales แล้วก็ที่ Scotland จาก 3 เมืองนี้ก็รู้สึกว่า London ใกล้สุด ซึ่งก็มีที่เดียวก็คือที่ University of Roehampton ก็เลยสมัครไปค่ะ พี่ Hands On ก็ช่วยเรื่องของการเช็กเอกสารทั้งหมด แอมก็เลยได้มีเวลาโฟกัสกับการสัมภาษณ์อย่างเดียว อย่างอื่นก็ปล่อยให้เค้าช่วยทำไปค่ะ อีกเรื่องนึงคือตอนที่มาเรียน Play Therapy ตอนนั้น เคยติดต่อ Agency อีกเจ้านึงไป จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เหมือนเค้าไม่มี Connection กับ Roehampton แต่ Hands On สามารถทำให้ได้ คือพี่ ๆ เค้าจะมีความกว้างขวางเรื่อง Connection ใน UK แล้วสิ่งที่แอมเรียนมันค่อนข้างเฉพาะด้านมาก ซึ่ง Connection ที่พี่ ๆ Hands On มีมันทำให้เค้าช่วยเราค่ะ 

 

บรรยากาศในห้องเรียนปริญญาโทใบที่สองเป็นยังไงบ้าง? 

Am: คนน้อยมากค่ะ เพราะว่าเค้าจำกัดตั้งแต่ตอนรับแล้วว่าเค้าจะรับแค่นี้ ตอนนั้นที่เรียนกับแอมมีแค่ 20 คนเอง เวลาเรียนมันก็ทั่วถึงดี มันเป็นการเรียนที่ต้องตอบโต้ ต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ต้องลึก ต้องเชื่อใจกัน คือจะมีวิชาที่คล้าย ๆ บำบัดกลุ่มที่เค้าแยกออกมาให้ จึงต้องสนิทและไว้ใจกันด้วย ส่วนอาจารย์สอนดีมากเลยค่ะ เป็น Factor หลักที่ทำให้เราเป็นเรามาจนถึงทุกวันนี้ เค้าผลิตนักบำบัดแบบเราออกมาได้ก็เพราะเรามีเค้าเป็น Model ให้เรามาตลอด 2 ปี  

นอกเหนือจากการ Interact ในห้อง มี Essay หรือมี Presentation อย่างอื่นอีกบ้างมั้ยคะ? 

Am: มีตลอดเลย แต่ Assignment มันจะไม่ได้เหมือนกับตอนเรียน Psychology มันเป็นงานที่ค่อนข้างสะท้อนกับตัวเอง อย่างตอนเรียนใหม่ ๆ ก็ตกใจนิดนึงเหมือนกันเพราะว่าถูกสอนให้ทำ Assignment แบบ Academic มาตลอด ทุกอย่างต้องมีอ้างอิง แต่มาที่นี่เค้าก็บอกว่ามันไม่เหมือนกับที่เคยเรียนมา มันต้อง Reflective กับตัวเอง ในงานสามารถใช้คำว่า I think หรือ I’ve been through this อะไรแบบนี้ แต่ Paper ที่ต้องมีรองรับก็มี แต่มันก็ไม่ได้ต้องทางการขนาดนั้น เค้าเน้น Process ที่เราจะต้องทำกับตัวเองเป็นหลัก 

 

University of Roehampton กับบรรยากาศรอบ ๆ แตกต่างกับที่ Bristol ขนาดไหน? 

Am: แอมว่ามันก็ตรงตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัยที่อังกฤษเลย ส่วนตัวแอมชอบตัวห้องสมุดนะ มันใหญ่มาก มีหลายชั้น แล้วก็ค่อนข้างสะดวก ถึงแม้ Admin เค้าก็จะไม่ค่อยโอเคซักเท่าไหร่ แรก ๆ ที่มีปัญหา ก็ให้พี่ Hands On เค้าช่วยตามให้ ส่วนบรรยากาศต่างกันมาก คนอินเดียกับคนต่างชาติเยอะมาก ใน Bristol จะมีประชากรที่เป็นคนจีนเยอะ ส่วนที่ London ประชากรที่เยอะจะเป็นคนอินเดีย เพราะงั้นก็จะมีความต่างเรื่องความหลากหลายกว่ามาก ส่วนเรื่องเมือง ถึงจะเป็น London ก็จริง แต่มันอยู่ London zone 3 ไม่ต้องจินตนาการถึง Tower bridge อะไรอย่างนั้นค่ะ คือมันจะอยู่แถวรอบนอกหน่อย แต่มันก็ดีเพราะว่ามันอยู่ใกล้กับ Green zone มีพวก Park เยอะ อยู่ใกล้กับ Richmond Park เดินไปได้เลยค่ะ 

 

ประสบการณ์การใช้ชีวิตนักเรียนใน London เป็นยังไงบ้าง อยู่หอที่ไหน? 

Am: London มันเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่แล้ว ปีแรกก็คือเที่ยวใน London ไป Nothing hill นู่นนี่ เพราะว่าคอร์สที่เรียนมันก็ค่อนข้างหนักหน่วงอยู่แล้ว ถ้าจะไปเที่ยวแบบ 3-4 วันมันใช้ Energy เยอะ คือถ้าถามว่ามันแบ่งเวลาได้มั้ย มันแบ่งได้ แต่มันใช้ Energy เพราะงั้นไปเที่ยวทีก็คือจะไปนานเลย อย่างช่วง Summer Break ก็จะกลับไทย หรือว่าช่วงปีใหม่ หยุดยาว Christmas ก็จะไปเที่ยวที่ยุโรปบ้าง ส่วนเรื่องหอทีแรกอยู่กับหอของมหาวิทยาลัยค่ะ เอา Safe ที่สุดเพราะไม่เคยมาอยู่ที่ London ก็เลยให้พี่ Hands On ช่วยแนะนำ หอมันห่างจากห้องเรียน 1 นาที แบบเดินได้ พอเราเริ่มรู้จักเพื่อน เริ่มคุ้นเคยกับสถานที่แล้ว ช่วงปี 2 เราก็ไปอยู่บ้าน Private แยกกับเพื่อนที่สนิทกัน แล้วก็มาเช่าบ้านข้างนอกที่มันเป็นบริเวณที่ดีกว่าตรงมหาวิทยาลัย  

ค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ Bristol มากมั้ย ค่าใช้จ่ายปริญญาโท 2 ปีประมาณเท่าไหร่คะ? 

Am: เยอะมากกว่าเยอะมากค่ะ (หัวเราะ) ถ้าพูดตามตรงก็เยอะมาก คือค่ารถเป็นค่าใช้จ่ายหลัก ๆ เลย แล้วมีพวก Tube กับ Train อีกเพราะแอมต้องไปทำงานที่โรงพยาบาล ก็ตีไปเลยว่าค่ารถวันละ £10 เทียบเป็นเงินไทยก็ 500 บาทเลย แต่สำหรับน้อง ๆ ที่อยากมาเรียน เราเรียนไปทำงานไปได้นะคะ เพราะว่าตอนแอมเรียน แอมทำงานที่ร้านอาหารไทย ก็ได้เป็น Pocket money ด้วย 

 

พี่แอมอยากฝากอะไรถึงน้อง ๆ ที่กำลังวางแผนเรียนต่อ UK อยู่มั้ยคะ? 

Am: ขอให้น้อง ๆ ฟังเสียงตัวเองเยอะ ๆ นะคะ การมาเรียนที่ UK มีความหมายอะไรในชีวิตของน้อง ๆ แล้วมันจะพาน้อง ๆ ไปเจอภาพอะไร แล้วมันเป็นภาพที่น้อง ๆ ต้องการหรือเปล่า มันไม่ได้แปลว่า การมาเรียนที่ UK คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน สิ่งสำคัญคือการที่เราเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเองว่าเรากำลังทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ ยังไงก็โชคดีนะคะ (ยิ้ม) 

 

ช่องทางติดตามพี่แอม 

Facebook Fanpage : Play Therapy with love  

Instagram : playtherapywithloveth

YouTube: Play Therapy with love

 

วางแผนเรียนต่ออังกฤษหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี ทุกขั้นตอน เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง